(จากซ้ายไปขวา) มร. มาเธียส เกรเกอร์, มร. มาร์คุส มาเกียร์ ,มร. เกออร์ก ชมิดท์ ,
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์  ,มร.โจเซฟ ฮง และมร. อันเดรอาส ริชเทอร์

นับเป็นครั้งแรกที่ บริษัท เอกชนชั้นนำของประเทศเยอรมันในประเทศไทย ที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการขนส่ง  และสมาคมหอการค้าเยอรมัน ได้รวมตัวกันสนับสนุนการแก้ปัญหาคุณภาพอากาศของไทยผ่านใน"โครงการ Clean Air Initiative "  

 
โดยบริษัทเอกชนภาคการขนส่งเยอรมัน ที่เข้าร่วมโครงการ Clean Air Initiative ประกอบด้วย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด  ซึ่งมีสินค้ายานยนต์รุ่นใหม่เป็นระบบไฮบริด ผสมระหว่างไฟฟ้า กับน้ำมัน ช่วยลดมลภาวะจากการเผาไหม้ เครื่องยนต์ ,  บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำของเยอรมัน ที่มีนวัตกรรมลดคาร์บอนไดออกไซด์  , บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จํากัด  ผู้นำด้านการขนส่ง และมีบทบาทการขนส่งในประเทศไทย มีนโยบายลดการปล่อยมลพิษและ บริษัท ทอร์คีโด เอเชีย-แปซิฟิค จำกัด ผู้ผลิตเรือที่ใช้ระบบไฟฟ้า  ไร้การปลดปล่อยมลพิษ เมื่อเทียบกับเรือที่ใช้ครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน  นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนภาครัฐของไทย อย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

มร. อันเดรอาส ริชเทอร์  ตัวแทนหอการค้าเยอรมัน-ไทย ในฐานะประธานคณะทำงานโครงการ Clean Air Initiative กล่าวถึงที่มาของโครงการClean Air Initiative  ว่า  ไทยกับเยอรมันมีความสัมพันธ์ทางการค้ามายาวนาน  มีการตั้งหอการค้าเยอรมัน - ไทยตั้งแต่ปี 2505 ปัจจุบันธุรกิจเยอรมันในไทยมีมูลค่าลงทุนสูงถึง 4.3พันล้านยูโร แต่จากผลการสำรวจความเห็นของบริษัทเยอรมันในไทย   77% ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหามลพิษทางอากาศอย่างมาก  จากข้อมูลชองกรีนพีซ ระบุว่าไทยติดอันดับ 28ของโลก ในแง่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนกรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศแย่สุดอันดับที่ 20 ของโลก ในขณะที่เชียงใหม่ในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมาติดอันดับเมืองที่มีค่ามลพิษสูงสุดในโลก คือ 226 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ปัญหามลพิษทางอากาศนี้ คาดว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 6.6 พันล้านบาท ทั้งในด้านสุขภาพและการท่องเที่ยว ตลอดจนลดแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

 
"หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายแล้ว การท่องเที่ยวในประเทศไทยก็จะกลับมา  แต่ถ้าสภาพอากาศของไทยยังไม่ดีก็จะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ที่เป็นเมนหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง  จึงเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประเทศไทยคงสถานะการเป็นผู้นำในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของภูมิภาค"

ประธานโครงการClean Air Initiative กล่าวต่อว่า หอการค้าเยอรมัน-ไทยพร้อมทั้งบริษัทที่เป็นสมาชิกยินดีร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อสนับสนุนการอภิปรายหาสาเหตุมลพิษทางอากาศ และร่วมเสนอแนะแนวทางบรรเทามลพิษในอากาศโดยได้แบ่งกลุ่มคณะทำงานในหัวข้อต่างๆ ที่ครอบคลุมทั้งด้านการขนส่ง อาคาร พลังงาน การผลิต และการเกษตร ซึ่งมีข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่ามากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM2.5 มากจากภาคการขนส่งทางถนนเฉพาะกรุงเทพฯ เมืองเดียวมีรถยนต์ที่จดทะเบียนกว่า 10 ล้านคัน  

มร. เกออร์ก  ชมิดท์ เอกอัคราชฑูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

ด้าน มร. เกออร์ก  ชมิดท์ เอกอัคราชฑูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย  กล่าวว่า การแถลงในครั้งนี้เป็นการรวมกลุ่มคณะทำงานเพื่อช่วยเสนอแนะลดปัญหา PM2.5 ในภาคขนส่งเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทยเมื่อไทยประกาศว่าเป็น Automotive hub ในอาเซียน  ซึ่งการใช้ยานพาหนะที่เป็นรถไฟฟ้า ( Electric Vehicle:EV) จะมีส่วนร่วมแก้ปัญหานี้ เพราะไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ

"อีกหนึ่งตัวอย่างที่ผม อยากพูดคือ เมืองที่ประสบปัญหารถติดอย่างกรุงเทพฯ อาจจัดเลนพิเศษสำหรับรถ EVเหมือนในบางเมืองในเยอรมนีที่ให้เฉพาะรถ EV วิ่งเพื่อเป็นแรงจูงใจคนหันมาใช้รถ EV  และจัดที่จอดรถฟรีให้กับรถEV เพราะที่เยอรมนี หาที่จอดรถยากมาก หรือในระดับปัจเจกบุคคลก็สามารถมีส่วนร่วมแก้ปัญหาและเป็นตัวอย่างให้สังคม เช่น  ที่สถานทูตก็มีการใช้รถ EV  ที่เป็นรถสกู๊ตเตอร์ ราคาไม่แพง  ระดับที่สองคือ ภาคเอกชนต้องมีส่วนร่วมและสนับสนุน อย่างที่มารวมตัวกันจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมเสนอแนะในครั้งนี้ สุดท้ายคือภาครัฐต้องจริงจังและปฏิรูปนโยบายที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ"ท่านฑูตกล่าว

   มร.โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด กล่าวว่า    บ๊อชให้ความสำคัญกับการคิดค้นนวัตกรรมส่วนประกอบยานยนต์ที่ออกแบบเฉพาะกับระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลายเพื่อการขับเคลื่อนที่ปลอดภัย ยั่งยืน และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น โดยนำเสนอคอนเซปท์ Technology Neutral ความเป็นกลางทางเทคโนโลยี เนื่องจาก  มองว่า พัฒนาการของเทคโนโลยีหลากหลายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีที่เป็นกลางนี้  เป็นการคิดค้นให้กับตลาด เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นทางเลือกกับผู้ ทั้งนี้จากงานวิจัยตลาดของบ๊อชคาดการณ์ว่า 2 ใน 3 หรือประมาณ 67% ของยานยนต์รุ่นใหม่จะยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป  แต่ในปีค.ศ. 2030 การพัฒนาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในแต่ละภูมิภาคจึงอาจมีความแตกต่างกันในช่วงเวลา และเทคโนโลยีที่เป็นกลางของบ็อช จะตอบสนองได้  ที่สำคัญมีส่วนช่วยลดปัญหาคุณภาพอากาศ เช่น เครื่องระบบไฮบริดของบ๊อข สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 15% จากรถเบนซินปกติและมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเครื่องยนต์ดีเซล

        ด้านมร .มาเธียส เกรเกอร์ รองประธานฝ่ายบริหารหน่วยธุรกิจวัตถุดิบอุตสาหกรรม บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า DKSH  มีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนจากระบบขนส่ง ลดการปล่อยคาร์บอนไม่ต่ำกวา 10% ต่อปี  จนถึงปีค.ศ. 2025 และจะเพิ่มรถไฟฟ้าที่เป็นรถขนส่งขนาดเล็กขึ้นอีก 20% ภายใน 2025

      มร. มาร์คุส มาร์คุส มาเกียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทอร์คีโด เอเชีย-แปซิฟิค จำกัดให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่ากรุงเทพฯ เคยเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเวนิซตะวันออก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการสัญจรทางน้ำอยู่มาก มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ ในเวลา1 ชั่วโมงเรือขนาด 80 แรงม้า หนึ่งลำมีอัตราการปล่อยไฮโดรคาร์บอนและไนโตรเจนออกไซด์สูงกว่ารถยนต์ จำนวนมากปล่อยไอเสียออกมา ขณะที่ การเดินเครื่องยนต์เรือของ Torqeedo  ที่เป็นไฟฟ้า จะไม่มีมลพิษ บริษัทจึงมีดำรินำร่องโครงการเรือโดยสารไฟฟ้าแบบ 40 ที่นั่งมาทดลองวิ่งในคลองกรุงเทพต่อไป

แคมเปญรณรงค์ลดฝุ่น

นายจรัญ คำเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน กฟผ. กล่าวว่า  โครงการ Charge to Change ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานของ กฟผ. ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมุ่งมั่นสร้างคุณภาพอากาศที่ดีให้กับคนไทยล่าสุด กฟผ. เปิดตัวธุรกิจใหม่ “EGAT EV Business Solutions” เพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านให้แก่ภาคพลังงานและคมนาคมขนส่ง  ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการด้าน EV พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสร้างอากาศที่ดีให้กับคนไทย

จากซ้ายไปขวา -นายจรัญ คำเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ กฟผ.มร. อันเดรอาส ริชเทอร์  ตัวแทนหอการค้าเยอรมัน-ไทย

และมร. เกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชฑูตเยอรมนี