เสื้อแดงสองปีก แยกจัดงาน 10 เม.ย. "เต้น-ณัฐวุฒิ" ซื้อใจม็อบสามนิ้ว จี้ผู้มีอำนาจ-ผู้พิพากษาปล่อยตัวแกนนำม็อบย้ำหากถึงเวลาต้องร่วมขบวน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น สองผัวเมีย "เหวง-ธิดา" ไม่พลาด โหนเต็มที่ ปลุกเร้าเสื้อแดงร่วมม็อบปลดแอก "จตุพร" ขู่ไล่บิ๊กตู่ รอแตกหักเดือนหน้า "ทอน" ฟ้องปิดปาก "อานนท์-บุญเกื้อ"
เมื่อวันเสาร์ที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มแกนนำเสื้อแดง นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ รวมถึงกลุ่มญาติคนเสื้อแดง ได้ร่วมกันจัดงานรำลึก 11 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย.53 ที่บริเวณจุดชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิต 20 คน และทหารเสียชีวิต 5 นาย โดยงานดังกล่าวมีการนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป ทำพิธีสวดบังสุกุลและถวายสังฆทานให้แก่ผู้เสียชีวิต
ต่อมานายณัฐวุฒิได้กล่าวกับคนเสื้อแดงที่มาร่วมงาน โดยได้หยิบแมสก์หน้ากากผ้าที่สกรีนรูปแกนนำกลุ่มม็อบคณะราษฎร 2563 เช่น นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำโดยยังไม่มีการให้ประกันตัวขึ้นมาใส่แล้วกล่าวว่า นอกจากป้องกันเชื้อระบาดแล้วยังน่าจะป้องกันเชื้ออุบาทว์ได้ด้วย ที่สวมหน้ากากนี้ไม่ได้กลัวโควิด แต่กลัวผู้คนในบ้านเมืองนี้จะลืมพวกเขา กลัวพวกเขาจะได้รับอันตราย อยากบอกว่าปล่อยพวกเด็กออกจากห้องขัง แล้วพวกเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ ไม่มีประเทศหรือสังคมใดเติบโตได้โดยการจับกุมลูกหลานที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงไปไว้ในที่คุมขัง
จากนั้นนายณัฐวุฒิได้ถอดหน้ากากอนามัยออกแล้วบอกว่า "พวกคุณจำผมได้ไหม ที่พวกคุณไล่ยิงไล่ฆ่าผมกลางถนนและพวกเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา วันนี้ผมกลับมายืนตรงนี้อีกที เพื่อบอกว่าการฆ่าไม่ใช่คำตอบ ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหา บ้านเมืองนี้มันถึงเวลาที่คนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกฝ่าย ต้องเปิดใจเข้าหากัน มันถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีอำนาจหรือสังคมใดปฏิเสธหรือหลบหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะเดียวกันฝนได้ตกลงมา นายณัฐวุฒิจึงกล่าวว่า ฝนที่ตกลงมาเปรียบเสมือนน้ำตาที่ปลาบปลื้มของวีรชนผู้สูญเสีย ก่อนจะมาวันนี้ตนก็ได้ร้องไห้หลั่งน้ำตาให้กับคนหนุ่มสาวที่ออกมาต่อสู้ อยากให้น้ำตานี้เป็นน้ำตาซ้ายสุดท้าย เพียงเพราะมีการออกมาเรียกร้องสิทธิของเขาที่พึ่งมีอยู่แล้ว ประชาชนไม่ประสงค์จะแย่งชิงอำนาจจากมือใคร ประชาชนไม่พึงประสงค์จะไปโค่นล้มทำลายองค์กรใดๆ แต่ประชาชนต้องการยืนตัวตรงแล้วบอกทุกคนว่า เราคือเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริง เราต้องการยืนในที่ของเรา สิทธิของเรา ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ของเรา เราไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ และเราจะไม่ยอมสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้เช่นเดียวกัน ขอเรียนไปยังผู้มีอำนาจว่า ที่ตนมายืนอยู่นี้ ไม่ได้มาเปิดฉากสงคราม ไม่ได้มาเปิดหน้าท้าทาย เพียงแต่มาบอกว่า ถ้าลูกหลานเขาลุกขึ้นมาเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่า เพราะลูกหลานเขาต้องการต่อสู้ ว่าบ้านเมืองเขาไม่ยอมรับ ที่ท่านผู้มีอำนาจส่งให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
“ทางเดียวที่ต้องทำคือ เปิดใจรับฟัง แล้วจับมือกันเดินหน้าไปพร้อมกับพวกเขา เพราะประเทศนี้กำลังอยู่ในความรับผิดชอบในอนาคตอันใกล้ข้างหน้า บ้านเมืองนี้เป็นสิทธิ์โดยชอบของคนรุ่นนี้ ที่จะเรียกร้องรูปแบบการปกครอง การจัดสรรโครงสร้างอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรม และดีกว่า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องเผชิญหน้ากันด้วยโทษา ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ท่านจะจัดการกับประชาชนเยาวชนด้วยความชิงชัง เพราะความจริงแล้วการต่อสู้นี้เขาทำในนามของคนเป็นลูกเป็นหลานของเรา และเป็นคนรุ่นเดียวกันกับลูกหลานของท่านผู้มีอำนาจ ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รักลูกสาวฝาแฝด 2 คนขนาดไหน พ่อแม่ของเพนกวิน รุ้ง ไผ่ และเด็กทุกคนในเรือนจำ ก็รักลูกสุดหัวใจเหมือนกัน” นายณัฐวุฒิ ระบุ
"อย่างไรก็ตาม ขอบอกน้องๆ เยาวชนหนุ่มสาวที่กำลังต่อสู้อยู่ทุกคนในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว สำนึกบุญคุณที่ทุกคนได้เอาหัวใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เพื่อนเรา ในหัวใจของผู้คน ถ้าหากดวงวิญญาณของผู้สูญเสียยังมีเรี่ยวแรงที่พอสู้ไหว ขอพลังครั้งสุดท้าย ปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้เขาปลอดภัย จากผู้มีอำนาจทั้งหลาย ปกป้องลูกหลานพวกเราอย่าให้เขาทำเหมือนกับที่ทำกับพวกเราเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดลจิตดลใจผู้พิพากษา ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ให้ปล่อยเยาวชนออกจากเรือนจำให้ไวที่สุด"
อดีตแกนนำ นปช.กล่าวว่า หมดเวลาแล้วที่ประชาชนจะเข่นฆ่ากันเอง มันถึงเวลาที่ประชาชนทุกคนที่ต้องขบคิดด้วยความจริงด้วยเหตุผล แล้วยืนบนหลักการที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องอนาคตของชาติ เพื่อปกป้องฝูงพิราบสีขาวที่กำลังโบยบิน พลังบริสุทธิ์นี้แกร่งกล้า แหลมคม ห้าวหาญเกินกว่า ขอให้น้องๆ เยาวชนรับรู้ว่าความอำมหิตของผู้ถืออำนาจในปัจจุบันนี้ คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกัน ที่มีอำนาจในกองทัพ ที่เผชิญหน้ากับพวกเราในเวลานั้น ดังนั้นจึงขอฝากไปยังฝูงพิราบสีขาวที่เป็นพลังบริสุทธิ์ทุกคน จงโบยบินสู่เสรีด้วยสันติวิธี อย่าเป็นเหยื่อของอารมณ์โทสะความโกรธแค้น จนทำให้เขาย้อมสีนกพิราบกลายเป็นเหยี่ยว เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถย้อมสีนกพิราบให้กลายเป็นเหยี่ยวได้ เขาจะกลายเป็นฝูงพญาอินทรีที่อำมหิต เข่นฆ่าน้องๆ ทุกคนอย่างที่เขาทำกับพวกเรา ขอแสดงความเชื่อมั่นของคนหนุ่มสาว และแสดงความเชื่อมั่นในหลักสันติวิธี
"มีคนถามผมมากว่าอีกเมื่อไหร่ หรือเป็นไปได้ไหมที่จะกลับไปยืนอยู่บนเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกครั้ง ผมบอกว่าผมไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะยุคสมัยปัจจุบันเป็นการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวและเยาวชน ซึ่งผมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าหากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสินว่าจำเป็นแล้วที่จะต้องทำหน้าที่ปกป้องคนหนุ่มคนสาวอีกครั้ง ผมจะแจ้งให้ทราบอีกที ขอพูดชัดๆ ว่าคนพันธุ์ผมไม่เคยกลัวใคร ถ้าหากจำเป็นต้องตัดสินใจเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ขอให้คนเสื้อแดงทั้งหลายปรบมือให้กับลูกหลานของพวกเรา ให้คนที่อยู่ในเรือนจำเขาได้รับรู้ การเรียกร้องต่อสู้วันหนึ่งมันจะจบลงได้ด้วยกรณีเดียว คืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ผู้มีอำนาจทั้งหลายได้โปรดรับฟังเสียงพวกเรา" นายณัฐวุฒิกล่าว
ปลุกแดงร่วมม็อบ 3 นิ้ว
ต่อมา นพ.เหวง โตจิราการ ขึ้นกล่าวกับคนเสื้อแดงเช่นกันว่า ปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้หลอมรวมเป็นกระแสทางเดียวกันกับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา คนเสื้อแดงก็มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างมีชีวิตชีวา อำนาจสูงสุดของประเทศต้องเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง จึงตกผลึกออกมาเป็น 3 ข้อเรียกร้อง และ 1 ความเห็น ซึ่งตนก็เห็นด้วยทุกประการ แต่ถูกขัดขวางด้วยน้ำมือฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยอนุรักษนิยม จนลูกหลานของเราถูกจับกุมคุมขัง สูญเสียอิสรภาพ สูญเสียอนาคตอันสวยสดงดงามของพวกเขาและของประเทศไทยไปอย่างน่าเสียดาย เรียนไปยังฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยว่า การคุมขังพวกเขานั้นไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของประเทศ ไม่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นโปรดพิจารณาปล่อยพวกเขาได้รับอิสรภาพ เพื่อไม่ให้การรำลึกถึงวีรชนที่ไร้แก่นสารโดยสิ้นเชิง พวกเราต้องเข้าร่วมและสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในยุคปัจจุบันของคนรุ่นใหม่อย่างรับผิดชอบ
ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. กล่าวเช่นกันว่า ขอขอบคุณเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่พยายามมากอบกู้ชื่อเสียงของคนเสื้อแดง ปัญญาชนคนรุ่นใหม่เขาได้เรียนรู้ว่าสิทธิคนเสื้อแดงที่ทำไว้คือการต่อสู้เพื่อประเทศ จึงมีความซาบซึ้งใจต่อการนำพาการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนรุ่นใหม่ทุกคน เมื่อเยาวชนวันนี้เขาอยู่ในคุกเป็นจำนวนมาก คนเสื้อแดงทั้งหลายจะปล่อยให้เด็กๆ อยู่ในการคุมขังอย่างนี้ทั้งที่เขาเป็นอนาคตของประเทศได้อย่างไร เป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ มันต้องจบที่รุ่นเรา รุ่นเราไม่จำเป็นต้องอายุ 20 ปี รุ่นเราอายุ 60-70 ก็ได้ ผ่านมา 11 ปี มีเยาวชนมากู้เกียรติยศ จึงเป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ มีคนทุกกลุ่มทุกชนชั้นทุกฝ่าย จะเดินทางไปด้วยกัน ขอให้ผู้มีอำนาจปล่อยตัวเยาวชนที่ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำ
วันเดียวกัน กลุ่มอดีตแกนนำเสื้อแดงอีกปีกหนึ่ง คือสายของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็จัดงานรำลึก 11 ปี เหตุการณ์ 10 เม.ย.53 เช่นกัน แต่มีการแยกไปจัดกันที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี ย่านรามอินทรา โดยงานดังกล่าวมีอดีตแกนนำ นปช. เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก รวมถึงมีมวลชนจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน
นายจตุพรกล่าวถึงการยุติเวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนฯ ชั่วคราวว่า เป็นเพราะรู้ว่าจังหวะใดต้องรุก จังหวะใดต้องถอย ซึ่งอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน การชุมนุมของกลุ่มไทยไม่ทนฯ ที่ผ่านมา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อประเมินจากสถานการณ์โควิด-19 จึงรีบยุติชั่วคราว แต่จะทำต่อไปทางโซเชียลมีเดีย โดยจะแตกหักจริงในเดือนพฤษภาคม เพราะการชุมนุมที่ผ่านมาเป็นเพียงการวอร์มอัพ เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น
"ทอน"ฟ้องอานนท์-บุญเกื้อ
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 ล้านบาท โดยโจทก์ฟ้องสรุปได้ว่า จำเลยใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Arnond Sakworawich โดยโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า "รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ลงนามรับรู้ แต่ก็ยังซื้อขายมาเป็นของตนเอง นี่จงใจทำผิดกฎหมายโดยเจตนาเลย คดีนี้ควรต้องเข้าคุกนะครับ ทำผิดโดยเจตนา ตั้งใจโกงที่แผ่นดินมาเป็นสมบัติส่วนตัว ถือเป็นการโกงชาติ คนโกงชาติคนโกงแผ่นดินขนาดนี้เหรอครับที่จะบอกว่าให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปตัวเองไม่ให้โกงชาติโกงแผ่นดินเสียก่อนเถิด" คำฟ้องระบุว่า บุคคลทั่วไปที่ได้เห็น ได้อ่านข้อความทั้งหมดประกอบกัน ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งเป็นเงินจำนวน 24,062,475 บาท
นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ยื่นฟ้องนายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยภักดี เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 3 ล้านบาท กรณีเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "บุญเกื้อ ปุสสเทโว" โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ลักษณะเป็นบทสนทนาระหว่างมารดากับโจทก์ ทำนองว่าโจทก์ได้รับการปลูกฝังให้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ซึ่งความจริงโจทก์ไม่เคยมีความคิดและพฤติการณ์ดังกล่าวเลย นอกจากนี้ จำเลยยังได้ตัดต่อภาพของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาโจทก์ แขวนป้ายที่บริเวณคอว่า "เจ้าของป่าสงวนแห่งชาติ" ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลสั่งและบังคับจำเลยให้ลบหรือหยุดเผยแพร์โพสต์หรือประกาศข้อความอันเป็นเท็จและให้ลงประกาศโฆษณาคำพิพากษา เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน
ด้านนายบุญเกื้อ ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า "ล่าสุด หลังจากบุญเกื้อเดินหน้าคดีเมย์เดย์ จะดำเนินคดีกับคณะฉ้อ-โกงประชาชนต่อไปนั้น วันนี้มีข่าวหลุดมาว่า อาตี๋เครียดจัด กำลังให้ทนายขุดคุ้ยหาโพสต์เก่าๆ มาฟ้องเพื่อปิดปากบุญเกื้ออีกแล้ว".
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |