หลบหน่อยพระเอกมา! 'ณัฐวุฒิ' ปราศรัยครั้งแรกหลังพ้นคุก สดุดีรัวๆวีรกรรมแกนนำม็อบ 3 นิ้ว


เพิ่มเพื่อน    

10 เม.ย.64 - ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ 2 กระทรวงในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปราศรัยกับคนเสื้อแดง ในงานรำลึก 11 ปี 10 เม.ย.53  โดยก่อนปราศรัยได้หยิบแมสรูปภาพนายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกคุมขังที่เรือนจำจากข้อหาความผิดมาตรา 112 และมาตรา 116 ขึ้นมาใส่ ก่อนจะกล่าวว่า นอกจากป้องกันเชื้อระบาดแล้วยังน่าจะป้องกันเชื้ออุบาทได้ด้วย ที่สวมหน้ากากนี้ไม่ได้กลัวโควิด แต่กลัวผู้คนในบ้านเมืองนี้จะลืมพวกเขา กลัวพวกเขาจะได้รับอันตราย อยากบอกว่าปล่อยพวกเด็กออกจากห้องขังแล้ว พวกเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ ไม่มีประเทศหรือสังคมใดเติบโตได้โดยการจับกุมลูกหลานที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงไปไว้ในที่คุมขัง

จากกนั้นนายณัฐวุฒิ ได้ถอดแมสออกแล้ากล่าวต่อไปว่า พวกคุณจำผมได้ไหม ที่พวกคุณไล่ยิงไล่ฆ่าผมกลางถนนและพวกเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ผมกลับมายืนตรงนี้อีกทีเพื่อบอกว่าการฆ่าไม่ใช่คำตอบ ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหา บ้านเมืองนี้ มันถึงเวลาที่คนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกฝ่ายต้องเปิดใจเข้าหากันมันถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีอำนาจหรือสังคมใดปฏิเสธหรือหลบหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะเดียวกันฝนได้ตกลงมา นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวว่า ฝนที่ตกลงมาเปรียบเสมือนน้ำตาที่ปราบปลื้มของวีรชนผู้สูญเสีย ก่อนจะมาวันนี้ตนร้องไห้หลั่งน้ำตาให้กับคนหนุ่มสาว ที่ออกมาต่อสู้ อยากให้น้ำตานี้เป็นน้ำตาซ้ายสุดท้าย เพียงเพราะมีการออกมาเรียกร้องสิทธิของเขาที่พึ่งมีอยู่แล้ว  ประชาชนไม่มีประสงค์จะแย่งชิงอำนาจ จากมือใคร ประชาชนไม่พึงประสงค์จะไปโค่นล้มทำลายองค์กรใดๆ แต่ประชาชนต้องการยืนตัวตรงแล้วบอกทุกคนว่าเราคือเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริง

นายณัฐวุฒฺิ กล่าวต่อว่า เราต้องการยืนในที่ของเรา สิทธิของเราความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ของเรา เราไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ และเราจะไม่ยอมสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ เช่นเดียวกัน ขอเรียนไปยังผู้มีอำนาจว่า ที่ตนมายืนอยู่นี้ ตนไม่ได้มาเปิดฉากสงคราม ไม่ได้มาเปิดหน้าท้าทาย เพียงแต่มาบอกว่า ถ้าลูกหลาน เขาลุกขึ้นมาเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่า เพราะลูกหลานเขาต้องการต่อสู้ ว่าบ้านเมืองเขาไม่ยอมรับ ที่ท่านผู้มีอำนาจส่งให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา ทางเดียวที่ต้องทำคือเปิดใจรับฟัง แล้วจับมือกันเดินหน้าไปพร้อมกับพวกเขา เพราะประเทศนี้กำลังอยู่ในความรับผิดชอบในอนาคต อันใกล้ข้างหน้า บ้านเมืองนี้เป็นสิทธิ์โดยชอบของคนรุ่นนี้ ที่จะเรียกร้องรูปแบบการปกครอง การจัดสรรโครงสร้างอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมและดีกว่า 

"ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เราจะต้องเผชิญหน้ากันด้วยโทษา ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ท่านจะจัดการกับประชาชนเยาวชนด้วยความชิงชัง เพราะความจริงแล้วการต่อสู้นี้เขาทำในนามของคนเป็นลูกเป็นหลานของเรา และเป็นคนรุ่นเดียวกันกับลูกหลานของท่านผู้มีอำนาจ  ถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รักลูกสาวฝาแฝด 2 คน ขนาดไหนพ่อแม่ของเพนกวิน รุ้ง ไผ่ และเด็กทุกคนในเรือนจำก็รักลูกสุดหัวใจเหมือนกัน"

เขา กล่าวว่าหวังว่าสิ่งที่ตนพยายามสื่อสารตั้งแต่คืนสู่อิสรภาพ จะถูกรับฟัง จะถูกกว่าคิดพิจารณา จากคนรุ่นเราจากคนเป็นพ่อเป็นแม่ เด็กๆกำลังรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำกัน 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เป็นธรรมเลยที่ต้องปล่อยให้เขาแบกรับปัญหา ไม่เป็นธรรมที่ต้องปล่อยให้เขาลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ไม่เป็นธรรมถ้ายิ่งปล่อยให้พวกเขาบอกซ้ำขึ้นไปอีก จากการพยายามออกจากปัญหา พวกเราต้องช่วยกัน พวกเราต้องกอดลูกหลานไว้เพื่อแสดงความสำนึกต่อบุคคลหนุ่มสาว ว่าเราผิดไปแล้วและพวกเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอีกต่อไป  เชื่อมั่นว่าถึงที่สุดปลายทาง ก็ต้องหลีกเลี่ยงและปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เชื่อมั่นว่าในที่สุดการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น อยากให้การจัดงานรำลึกถึงผู้สูญเสีย ที่ออกมาต่อสู้ทางการเมือง ปี 53 เป็นครั้งสุดท้ายเป็นการรำลึกครั้งสุดท้ายจะต้องไม่มีการรำลึกปี 64 ปี 65 หรือปีใดๆ ในอนาคตต่อไป

แกนนำนปช. ที่ชุมนุมเมื่อปี 2553 และได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ  2 กระทรวงในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์   กล่าวอีกว่าขอขอบคุณพวงหรีดที่สลักชื่อองค์กรกลุ่มก้อนคนหนุ่มสาวที่ส่งมาในวันนี้ เชื่อว่าดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เมื่อ 11 ปีที่แล้วได้รับทราบ พวกเขาจะภาคภูมิใจ ทางจากพวกเขามาต่อสู้ด้วยมือเปล่ากลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำให้เสียชีวิต พวกเขาไม่มีที่ยืนแม้แต่ในประวัติศาสตร์ ไม่มีอนุสรณ์สถาน ไม่มีอนุสาวรีย์ ไม่มีคดีความ ไม่มีความรับผิดชอบสำนึกจากผู้มีอำนาจที่ลงมือกระทำสังหารในเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่เวลาผ่านไป 11 ปีพวกเขามีพวงหรีดของคนรุ่นหลัง มีพลังของคนหนุ่มสาวที่แสดงความเข้าใจแสดงความเห็นใจ 

"ดังนั้นขอบอกน้องๆเยาวชนหนุ่มสาว ที่กำลังต่อสู้อยู่ทุกคนในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว สำนึกบุญคุณที่ทุกคน ได้เอาหัวใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เพื่อนเรา ในหัวใจของผู้คน ถ้าหากดวงวิญญาณของผู้สูญเสียยังมีเรี่ยวแรง ที่พอสู้ไหว ขอพลังครั้งสุดท้าย ปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้เขาปลอดภัย จากผู้มีอำนาจทั้งหลาย ปกป้องลูกหลานพวกเราอย่าให้เขาทำเหมือนกับที่ทำกับพวกเรา เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดนจิตโดนใจผู้พิพากษาผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ปล่อยเยาวชนออกจากเรือนจำให้ไวที่สุด"

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าหมดเวลาแล้วที่ประชาชนจะเข่นฆ่ากันเองมัน ถึงเวลาที่ประชาชนทุกคนที่ต้องขบคิดด้วยความจริงด้วยเหตุผล แล้วยืนบนหลักการที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องอนาคตของชาติ เพื่อปกป้องฝูงพิราบสีขาวที่กำลังโบยบิน พลังบริสุทธิ์นี้แกร่งกล้าแหลมคมห้าวหาญเกินกว่า ที่ส่วนตัวผมจะจิตนาการได ้แต่ขอให้น้องๆเยาวชนรับรู้ว่าความอำมหิตของผู้ถืออำนาจในปัจจุบันนี้ คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกัน ที่มีอำนาจในกองทัพ ที่เผชิญหน้ากับพวกเราในเวลานั้น ดังนั้นจึงขอฝากไปยังฝูงพิราบสีขาวที่เป็นพลังบริสุทธิ์ทุกคน จงโบยบินสู่เสรีด้วยสันติวิธี อย่าเป็นเหยื่อของอารมณ์โทสะความโกรธแค้น จนทำให้เขาย้อมสีนกพิราบ กลายเป็นเหยี่ยว เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถย้อมสีนกพิราบให้กลายเป็นเหยี่ยวได้เขาจะกลายเป็นฝูงพญาอินทรีย์ที่อำมหิตเค่นฆ่าน้องๆทุกคนอย่างที่เขาทำกับพวกเรา 

"มีคนถามผมมาก ว่าอีกเมื่อไหร่หรือเป็นไปได้ไหม ที่กลับไปยืนอยู่บนเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกครั้ง ผมบอกว่า ผมไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะเห็นว่ายุคสมัยปัจจุบันเป็นการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวและเยาวชน" นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่าอย่างไรก็ตามจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าหากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสินว่าจำเป็นแล้วที่จะต้องทำหน้าที่ปกป้องคนหนุ่มคนสาวอีกครั้ง ตนจะแจ้งให้ทราบอีกที 

ในตอนท้าย แกนนปช.คนนี้ กล่าวว่า ขอให้คนเสื้อแดงทั้งหลายที่เคยเคียงไหล่เคียงบ่ากันมา ปรบมือให้กับลูกหลานของพวกเรา ให้คนที่อยู่ในเรือนจำ เขาได้รับรู้ การเรียกร้องต่อสู้วันหนึ่งมันจะจบลง ได้ด้วยกรณีเดียวคืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง  มันจะไม่จบลงด้วยการจับกุมคุมขังการเข่นฆ่า คุกคามหรือการดูหมิ่น เหยียดหยามการข้ามหัวประชาชน 

"ดังนั้นบรรดาเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายได้โปรดรับฟังเสียงพวกเรา  ฟังผมสักครั้ง ผมไม่อยากให้พวกคุณต้องฆ่าใครอีก เพราะฆ่ายังไงก็ไม่หมดฆ่าตายกี่คนกี่หนก็ไม่จบ"นายณัฐวุฒิกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"