สัปดาห์นี้เราจะได้เห็นการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนเพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤติพม่าหรือไม่
เป็นคำถามที่มีความหมายมากสำหรับการพิสูจน์ว่ากลไกอาเซียนจะยังมี “น้ำยา” ในการแก้ปัญหาที่ละเอียดอ่อน แต่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ขององค์กรภูมิภาคนี้หรือไม่อย่างไร
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้นำอาเซียนจะสามารถหาทาง “พูดเป็นเสียงเดียวกัน” อย่างชัดเจนในประเด็นที่กำลังท้าทายศักยภาพของอาเซียนอย่างหนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 50 ปี
ณ จุดนี้เราพอจะเห็นว่าอาเซียนเองก็แยกเป็นสองสามกลุ่มในกรณีเมียนมา
กลุ่มแรกที่มีความคึกคักและกระตือรือร้นในการที่จะให้อาเซียนแสดงบทบาท “เชิงรุก”
มีอินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งในอาเซียนที่เลือกจะใช้แนวทาง “เชิงตั้งรับ” เพราะเกรงใจกองทัพเมียนมาพอสมควร นั่นคือ เวียดนาม, สปป.ลาว และกัมพูชา
ส่วนบรูไนในฐานะเป็นประธานอาเซียนปีนี้วางตัวเองไว้ตรงกลางเพื่อการประสาน
ถามว่าประเทศไทยเรายืนอยู่ตรงไหนของสมการที่ว่านี้
น่าจะบอกว่า “ยืนอยู่ตรงกลาง”...แต่ก็เป็นกลางที่เอนเอียงไปข้าง “เกรงอกเกรงใจ” ฝ่ายกองทัพของมิน อ่อง หล่าย
นั่นคือ “วิบากกรรม” ของไทยที่จะต้องวางจุดยืนของเราให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทย
และคำนิยามของผลประโยชน์ของไทยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของอาเซียน
ซึ่งต้องไปทางเดียวกับผลประโยชน์ของประชาชนชาวเมียนมาด้วย
และต้องเป็นแนวทางเดียวกับทิศทางของประชาคมโลก
โดยจำเป็นต้องสอดประสานกับจุดยืนของสหประชาชาติ, สหรัฐและสหภาพยุโรป
ที่สอดประสานกับแนวทางของประเทศยักษ์ๆ ในเอเชีย เช่น อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้
ที่ไปทางเดียวกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการประสานกับยักษ์ใหญ่อย่างจีนและรัสเซีย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการวางตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับประเทศไทยในสภาพของ “ทางหลายแพร่ง” ขณะนี้
แต่ก็ไม่มีทางเลือกสำหรับไทยที่จะต้องตัดสินใจแสดงบทบาทที่เป็น “เชิงรุก”
และต้องเป็น “เชิงรุก” ที่สร้างสรรค์, เชื่อมโยง และตอบโจทย์สำคัญๆ ของประชาคมโลกด้วย
เพราะหาไม่แล้ว หากวิกฤติของเมียนมาไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาก็จะนำไปสู่การล่มสลายของเมียนมา
ซึ่งก็จะนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อความมั่นคงทั้งด้านการเมือง, เศรษฐกิจ และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความยากเย็นยิ่งของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในการปรึกษาหารือเพื่อปูทางไปสู่การประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนนั้นคือคำถามที่ว่า
จะเชิญ “ผู้นำ” ของเมียนมามาร่วมประชุมด้วยหรือไม่
ถ้าเชิญ จะเชิญมิน อ่อง หล่าย หรือ อองซาน ซูจี และถ้าเชิญทั้ง 2 คน มิน อ่อง หล่าย จะยอมปล่อยตัว อองซาน ซูจี เพื่อร่วมประชุมหรือไม่
หากเป็นแค่ มิน อ่อง หล่าย จะทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ถูกมองว่าโอนเอียงไปข้างทหารหรือไม่
หรือหากผู้นำอาเซียนจะประชุมเพียง 9 ประเทศสมาชิก โดยไม่มีผู้นำจากเมียนมา จะมีมติไปทางใด
คำถามสำคัญต่อมาก็คือว่า สมาชิกอาเซียนทั้งหมดจะมี “จุดยืนร่วมกัน” หรือ “พูดเป็นเสียงเดียวกัน” (Speak with one voice) ได้หรือไม่
และหากประนีประนอมเป็น “เสียงเดียวกันที่อ่อนปวกเปียก...ไร้พลัง” จะเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของอาเซียนเองหรือไม่
เพราะหากพูดเป็นเสียงเดียวกันไม่ได้ เพราะมีความเห็นต่างกันอย่างมาก ก็จะสะท้อนว่าอาเซียน “หมดมนต์ขลัง” ไร้น้ำยา
แต่หากต่อรองกันจนมีคำแถลงการณ์ร่วมที่ไร้พลัง ใช้ภาษากว้างๆ ที่ไม่มีผลทางปฏิบัติก็อาจจะทำให้อาเซียนหมดความสำคัญลงไปเช่นกัน
ทางออกที่อาจจะนำไปสู่การ “ปริแยก” ของอาเซียน แต่อาจจะจำเป็นก็คือการ “ตกลงที่จะไม่ตกลง” ในมวลหมู่สมาชิกอาเซียน
นั่นคือสูตร ASEAN Minus X หรือ “อาเซียนลบเอ็กซ์”
อันหมายถึงการที่สมาชิกกลุ่มหนึ่ง (ไม่ต้องครบทั้ง 10 ประเทศ) เดินหน้าประกาศทิศทางของอาเซียนไปก่อน ใครไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องร่วมขบวนการนี้
หากเดินหน้าด้วยสูตรนี้ก็อาจจะถูกมองว่า “อาเซียนแตก” แต่ก็อาจจำเป็น
เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ อาเซียนเองก็อาจจะต้องเผชิญวิกฤติที่ใหญ่กว่าการไม่ทำอะไรเลยก็ได้
ทั้งหมดนี้คือภาพ “ฉากทัศน์” สำหรับก้าวต่อไปของอาเซียนที่กำลังท้าทายว่ากลไกภูมิภาคแห่งนี้จะเผชิญกับการท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งมาได้หรือไม่
เป็นการท้าทายว่าอาเซียนจะกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดไม่เคยลองมาก่อนหรือไม่
วิกฤติเมียนมาก็คือวิกฤติอาเซียน
และกลายเป็นวิบากกรรมของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |