อึ้ง! "ส.ส.โรม" เตรียมชง "กมธ.กฎหมาย สภาฯ" 1 เม.ย.เชิญ "ประธานศาลฎีกา" แจงข่าวลือโซเชียลศาลโดนใบสั่งไม่ยอมให้ประกันแกนนำ 3 นิ้ว "อดีตโฆษก ปชป." ซัดพวกกุข่าวทำลายศาล "ราชทัณฑ์" โต้ "เพนกวิน" อดข้าวจนทรุด บอกอาการยังปกติแค่อ่อนเพลีย-แสบท้อง "เอกชัย" กับพวกรอดนอนคุก ศาลให้ประกันตัวคดีขวางขบวนเสด็จ "วัชระ" ยื่นสรรพากร-ปปง.ตรวจภาษี "ทราย-บุ๊ง" เปิดรับบริจาคหนุนม็อบ "จตุพร" งัดโมเดลพฤษภา 35 ไล่บิ๊กตู่
ที่รัฐสภา วันที่ 31 มี.ค. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวว่า จากกรณีที่มีการพูดคุยอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ อ้างถึงการประชุมใหญ่ในศาลฎีกา โดยมีผู้สอบถามเหตุใดถึงไม่ให้ประกันตัวแกนนำกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพราะผู้ถูกคุมขังไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่ประธานศาลฎีกากลับระบุมีบุคคลภายนอกสั่งมา แม้ในเวลาต่อมาโฆษกศาลยุติธรรมจะออกมาชี้แจงเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่ก็เป็นการตอบที่สั้นเกินไป ไม่มีการอธิบายรายละเอียดเพียงพอ อาจทำให้เกิดการถกเถียง ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ในฐานะ ส.ส.ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ รวมทั้งศาลว่าได้ทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระหรือไม่ ตนจึงจะได้นำประเด็นนี้เสนอต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ขอให้เชิญประธานศาลฎีกาหรือตัวแทนมาให้ความเห็นและชี้แจงต่อกรรมาธิการ
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เบื้องต้นท่าทีโดยรวมยังไม่มีใครปฏิเสธต่างเห็นว่าเป็นประเด็นใหญ่ และเรื่องนี้ยังเป็นโอกาสดีถ้าศาลจะมาชี้แจงจนสิ้นข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังต้องนำหารือต่อกรรมาธิการอีกครั้ง เพราะกรรมาธิการยังไม่มีมติว่าจะรับหรือไม่รับ จะมีการพิจารณาเรื่องของตนในวันที่ 1 เม.ย. คงต้องติดตามกันต่อไป
“เพื่อใช้เป็นพื้นที่สร้างความเข้าใจกับสังคม และเป็นโอกาสอันดีหากศาลชี้แจง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ต่อความเป็นอิสระของศาล หากประชาชนไม่เชื่อถือ ก็อาจจะกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมได้” นายรังสิมันต์กล่าว
จากนั้นนายรังสิมันต์ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปเยี่ยมแกนนำกลุ่มราษฎรในเรือนจำว่า ได้พบกับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ได้สนทนากันเล็กน้อย ได้ทราบถึงความเป็นอยู่ว่าได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ตามมาตรฐานของเรือนจำเหมือนกับผู้ถูกคุมขังอื่นๆ ขณะเดียวกันยังได้พูดคุยกับรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งตนสอบถามถึงวิธีการคุมตัวผู้ต้องขังไปขึ้นศาลว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จึงต้องยืนอยู่ในระยะประชิด จึงเสนอไปว่าขอให้อยู่ในระยะสายตาได้หรือไม่ เนื่องจากบางครั้งเจ้าหน้าที่ก็ไม่จำเป็นต้องได้ยินการสนทนาระหว่างผู้ต้องหากับญาติใกล้ชิดที่เป็นเรื่องส่วนตัว โดยรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์รับปากว่าจะนำเรื่องนี้ไปหารือ
"ส่วนนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ทางกรมราชทัณฑ์เองมีความกังวล เนื่องจากสภาพร่างกายของนายพริษฐ์อ่อนแอจากการอดอาหาร ส่วนตัวมองว่าราชทัณฑ์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคุมขัง ขอให้ผู้ต้องหาได้รับสิทธิการประกันตัวออกมา เพราะเมื่อได้รับการประกันตัว ไม่ได้หมายความว่าข้อกล่าวหาต่างๆ จะหมดไป ยังต้องมาสู้คดีกันต่อ ส่วนใหญ่จากที่เห็นนั้น ผู้ได้รับการประกันตัวก็ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือขอลี้ภัย จากประสบการณ์ส่วนตัวเคยเห็นผู้ต้องขังที่อยู่ในลักษณะเดียวกัน สุดท้ายยอมรับสารภาพแต่ไม่ใช่เพราะยอมรับว่ากระทำผิด เพียงแต่กระบวนการทำให้ต้องยอมจำนน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาหรือไม่" ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ระบุ
ซัดพวกกุข่าวทำลายศาล
ด้านนายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องหยุดบิดเบือนให้ร้ายศาลยุติธรรม จากกรณีที่มีการแชร์ข้อความทางเฟซบุ๊กพาดพิงถึงการประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ระบุทำนองว่าที่ประชุมศาลไม่ไว้วางใจประธานศาลฎีกาที่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับเรื่องการประกันตัวคดีความผิดตาม ป.อาญา ม.112 ว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้ที่ปล่อยข่าวเท็จดังกล่าวก็คือนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งปัจจุบันหลบหนีอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งคนที่ติดตามด้วยความเป็นกลางก็พอจะทราบว่าทุกประเด็นของนายสมศักดิ์ล้วนแต่เป็นเรื่องบิดเบือน ยุยงปลุกปั่นให้เยาวชนเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ และตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป้ามาที่ศาลยุติธรรม
"ผมคิดว่าคำชี้แจงของโฆษกศาลยุติธรรมน่าจะแจ้งชัดแล้ว แต่ในฐานะทนายความที่อยู่กระบวนการยุติธรรม รู้สึกสลดใจทุกครั้งที่ศาลถูกตั้งคำถามถึงความเป็นสองมาตรฐาน โดยเฉพาะกับกรณีการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำม็อบราษฎร เนื่องจากผู้ต้องหาหรือจำเลยไปกระทำความผิดในความผิดที่ถูกฟ้องหรือถูกกล่าวหาซ้ำๆ กันหลายครั้ง ซึ่งศาลเคยให้โอกาสปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไปกระทำอีก ศาลจึงจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของสังคมโดยรวม โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอด คำสั่งศาลจึงชอบธรรมแล้ว" อดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงอาการของนายพริษฐ์ว่า ขณะนี้ถูกกักขังอยู่ที่สถานกักขังกลาง จ.ปทุมธานี ที่มีกระแสข่าวว่าอาการทรุดหนักจากการอดอาหารนั้น ขอยืนยันว่าอาการยังคงปกติ ไม่มีอาการหน้ามืดเวียนศีรษะ มีสีหน้าสดชื่นขึ้น พบเพียงอาการอ่อนเพลีย ริมฝีปากแห้งเล็กน้อย และอาการแสบท้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดูแลให้ยาเคลือบกระเพาะตามแผนการรักษาแล้ว ส่วนผื่นคันบริเวณหน้าอกและหลังลดลงจากเดิม โดยทั่วไปถือว่ายังไม่น่าเป็นห่วง แม้เจ้าตัวยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหาร แต่ได้ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและดื่มเกลือแร่ทดแทน
"อาการล่าสุดของนายพริษฐ์ เจ้าหน้าที่พยาบาลได้เข้าตรวจรักษาในวันนี้ (31 มี.ค.2564) เวลา 07.00 นาฬิกา พบว่าสัญญาณชีพโดยทั่วไปปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.6 องศาเซลเซียส อัตราเต้นของหัวใจ 66 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ 18 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 123/75 มิลลิเมตรปรอท และน้ำหนักตัว 103 กิโลกรัม" นายธวัชชัยกล่าว
ถามถึงการขอย้ายนายพริษฐ์ไปกักขังโรงพยาบาลพระราม 9 โฆษกกรมราชทัณฑ์กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ญาติผู้ต้องขังหรือผู้ต้องกักขังสามารถเรียกร้องได้ตามสิทธิ และขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล แต่เบื้องต้นในกระบวนการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ หากมีผู้ต้องขังป่วยจนต้องออกไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก กรมราชทัณฑ์มีโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ การรักษาของแต่ละเรือนจำและทัณฑสถานเพื่อรองรับอยู่แล้ว รวมถึงทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เองก็เป็นโรงพยาบาลในสังกัดกรมราชทัณฑ์ที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือในการดูแลรักษาเพียบพร้อมเทียบเท่าโรงพยาบาลทั่วไป
"เบื้องต้นนายพริษฐ์ไม่มีความประสงค์ที่จะย้ายตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และยังไม่พบอาการผิดปกติจนน่ากังวล รวมถึงสถานพยาบาลประจำสถานกักขังก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลให้การดูแลรักษาตลอดเวลา และมีความพร้อมในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายหากมีเหตุฉุกเฉินอยู่แล้ว” โฆษกกรมราชทัณฑ์กล่าว
ซักถึงการอดอาหารของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง นายธวัชชัยกล่าวว่า ได้รับแจ้งจาก น.ส.ปนัสยาว่าต้องการงดอาหารมื้อเย็น 1 มื้อ เป็นระยะเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. ส่วนอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันยังคงรับประทานอยู่ และมีการทำกิจกรรมอื่นๆ รวมถึงการเข้าพบทนายเพื่อปรึกษาเรื่องคดีความตามปกติ
'เอกชัย'กับพวกรอดนอนคุก
วันเดียวกัน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ 5 ผู้ต้องหา เดินทางมารายงานตัวตามที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 นัดสั่งคดีกรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐานประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563
นายเอกชัยกล่าวก่อนการเข้าพบอัยการว่า ได้เตรียมหลักทรัพย์มายื่นประกันตัว ส่วนจำนวนเท่าใดไม่ขอเปิดเผย ซึ่งก่อนหน้านี้ในชั้นฝากขังศาลเคยไม่ให้ประกันตัว เพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาศาลปล่อยตัว วันนี้อัยการส่งฟ้องการสอบสวนสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ง่าย แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี
นายบุญเกื้อหนุนได้อ่านคำแถลงอันมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เราไม่มีความประสงค์หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหา และเรายืนยันในความบริสุทธิ์ของพวกเรามาตลอด แต่หลังจาก 5 เดือนผ่านไป พร้อมกับความอัปยศและความยากลำบาก พวกเราได้รับทราบถึงข้อสรุปจากอัยการได้ตัดสินใจเตรียมการส่งคดีฟ้องต่อศาลอาญา และจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้ง 5 คนจะต้องถูกขัง และถูกลิดรอนเสรีภาพของพวกเราโดยทันที
ต่อมาในเวลา 11.00 น. ทางพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา และนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา และศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ.778/2564 สอบคำให้การจำเลยทั้งหมดแล้ว จำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานต่อไปในวันที่ 26 เม.ย. 2564 เวลา 09.00 น.
จากนั้นทนายความของจำเลยทั้ง 5 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายเอกชัยกับนายสุรนาถ โดยประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 3 แสนบาท ส่วนนายบุญเกื้อหนุน, นายชนาธิป และนายภาณุภัทร์ ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 2 แสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
นอกจากนี้ ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ แกนนำกลุ่มวีโว่ ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ ซ่องโจรฯ จากการถูกตำรวจจับกุมตัวเมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 มี.ค.2564 ที่ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ฯ สาขารัชโยธิน วันเดียวกับเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มรีเดม หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งนายปิยรัฐไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นฝากขัง ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง พร้อมขอศาลไต่สวนคำร้อง ศาลอนุญาตและนัดไต่สวนในวันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายปิยรัฐจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล และมีพนักงานสอบสวนเดินทางมาเบิกความต่อศาล
ทนายความของนายปิยรัฐ ผู้ต้องหา ได้แถลงขอนำพยานวัตถุมาแสดงต่อศาล ประกอบด้วย คลิปไลฟ์สดเหตุการณ์ขณะถูกจับกุมบริเวณอาคารจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ฯ รัชโยธิน, ใบเสร็จค่ารับประทานอาหารที่ระบุเวลา 17.52 น., ภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดที่ระบุเวลา และประเด็นพฤติการณ์การจับกุมในคำร้องฝากขัง ที่แจ้งว่าได้ยึดของกลางจากนายปิยรัฐ คือเสื้อคล้ายเกราะเท่านั้นที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ขณะที่นายปิยรัฐไม่เคยถูกดำเนินคดีข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรมาก่อน แต่ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อยู่ระหว่างการสอบสวน
โมเดลพฤษภา 35 ไล่บิ๊กตู่
พ.ต.ท.พิภัสสร์ พูนลัน พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เบิกความต่อศาลสรุปได้ว่า การจับกุมนายปิยรัฐเป็นการระงับเหตุร้าย ซึ่งเป็นไปตามการสืบสวนสอบสวนของตำรวจสันติบาล ที่ระบุว่าผู้ต้องหาเกี่ยวข้องเป็นผู้สั่งการในเหตุการณ์ก่อความรุนแรงที่หน้า สน.ดินแดง เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2564 แต่ไม่ได้แนบสำเนารายงานดังกล่าวมาในบันทึกการจับกุม และได้รับรายงานพิสูจน์ของกลางว่า หลักฐานดังกล่าวเป็นยุทธภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย ส่วนการจับกุมนายปิยรัฐที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ฯ รัชโยธิน วันดังกล่าวนั้น เป็นการจับกุมในภายหลัง ต่อเนื่องกันกับการจับกุมพวกผู้ต้องหารายอื่นๆ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า วันนี้ได้เบิกตัวพนักงานสอบสวนมาไต่สวนแล้ว 1 ปาก ขณะที่ทนายความกับพนักงานสอบสวนได้แถลงว่าหมดพยานที่จะไต่สวนเพียงเท่านี้ คงมีประเด็นขอให้พนักงานสอบสวนนำเสนอรายงานการตรวจพิสูจน์ว่าเสื้อที่นายปิยรัฐ ผู้ต้องหาสวมใส่ เป็นเสื้อเกราะตามกฎหมายยุทธภัณฑ์หรือไม่ จึงให้นัดพิจารณาพยานเอกสารอีกครั้ง ในวันที่ 1 เม.ย.2564 เวลา 13.30 น.
ที่กรมสรรพากร นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นถึงนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบภาษีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร (กลุ่มปลดแอก) ที่เปิดรับบริจาคเงินโดยอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยมีการจัดการชุมนุมตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่ามี น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย และนายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือเฮียบุ๊ง เป็นผู้เปิดรับบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการชุมนุมที่มีการกระทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายวัชระยังได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ให้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงินแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรจากการกระทำดังกล่าวด้วย โดยนายวัชระระบุว่า ต้องการทราบผลดำเนินการเรื่องนี้ภายใน 15 วัน
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ในหัวข้อ "วันที่ 4 เดือน 4 4 โมงเย็นได้เวลาประยุทธ์ออกไป" ตอนหนึ่งว่า การประกาศนัดหมายของนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 2535 เริ่มมีพลานุภาพ แม้ทุกสายตาต่างจ้องมองตนจะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร ซึ่งได้อธิบายชัดเจนว่าเป็นคนเดือนพฤษภา 2535 คนหนึ่ง เมื่อประธานคณะกรรมการญาติวีรชนฯ ได้เชิญชวนให้เข้ามาร่วมและประเมินสถานการณ์บ้านเมืองว่าอยู่ในจุดขั้นวิกฤติ แล้วจะนิ่งดูดายได้อย่างไร โดยให้ยึดโมเดลพฤษภาคม 2535 ที่เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับเผด็จการ ดังนั้นรู้ว่าต้องเจออะไรในสถานการณ์นี้
"บางคนกลับถากถาง อย่างเช่นนายสมชาย แสวงการ ส.ว. บอกว่าปลุกไม่ขึ้น ดังนั้นอยากบอกไปยังนายสมชายว่า ให้ดูประวัติศาสตร์พฤษภาคม 2535 ที่ผมไปนำทัพต่อที่รามคำแหงนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่แม้ว่าจะหมดหนทาง ซึ่งทุกคนคิดว่าแพ้แล้ว แต่เรายังพลิกสถานการณ์โดยประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายยืนเคียงข้างเป็นที่มั่นสุดท้ายของประชาชน" นายจตุพรกล่าว
ประธาน นปช.กล่าวว่า ขบวนการที่พยายามเตะตัดขา เพราะคิดว่านี่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล เป็นประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์นี่แหละ ที่บอกว่าในบ้านเมืองที่น่ากลัวที่สุดคือคนโง่แล้วขยัน คนที่ประโคมโหมข่าวให้การนัดหมายประชาชนในวันที่ 4 เดือน 4 เวลา 4 โมงเย็นนั้น ก็คือคนในซีกฝั่งของรัฐบาล การนัดหมายในวันที่ 4 เม.ย. จะมีคนที่มาจากหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายเหล่านี้ คือปรากฏการณ์ของการต่อสู้ของสมรภูมิใน พ.ศ.นี้
"วันนี้อย่าเอาความรู้สึกที่มีต่อตนเป็นตัวตั้ง แต่จงเอาความเดือดร้อน ความเหลื่อมล้ำของประเทศนี้ การไม่รักษาคำมั่นสัญญาของผู้นำประเทศในประเทศนี้เอามาเป็นตัวตั้ง ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดเวลานี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่รับ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้" ประธาน นปช.กล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |