ธุรกิจครอบครัวนับว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ผลการดำเนินงานในปีนี้จะชะลอตัว หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่มีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2565 โดยธุรกิจครอบครัวไทยมากกว่า 3 ใน 4 ต้องการปกป้องกิจการในฐานะสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของครอบครัว แน่นอนว่าจัดการกับกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากประเด็นดังกล่าว นายนิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลกประจำปี 2564 ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจครอบครัวใน 87 ประเทศและอาณาเขตทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย พบว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจครอบครัวไทยในปี 2564 จะชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน
ขณะที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในระยะที่สอง ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนหยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะเริ่มฟื้นตัว และจะส่งผลให้การดำเนินงานในปีหน้าปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนในวงกว้าง
ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่คาดว่า ในปีนี้ยอดขายและรายได้ของบริษัทจะยังคงไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งนอกจากประเด็นนี้ การจัดการสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจจะยังคงเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนจำกัด เพราะวิกฤติโควิด-19 มีความยืดเยื้อและกินระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปี ซึ่งต่อจากนี้ไปน่าจะเห็นธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กและบริษัทอื่นๆ ที่มีสภาพคล่องไม่พอ มีการผิดนัดชำระหนี้ และอาจมีปิดกิจการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ทั้งนี้ 61% ของธุรกิจครอบครัวไทยที่ถูกสำรวจยังระบุอีกว่า สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลให้ยอดขายในปีนี้ลดลง เปรียบเทียบกับ 46% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริหารธุรกิจครอบครัวมีความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาดีขึ้นในปีหน้า โดย 83% ของธุรกิจครอบครัวไทย และ 86% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลกคาดว่าธุรกิจจะกลับมาเติบโตได้ในปี 2565
รายงานของ PwC ยังระบุด้วยว่า วิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจครอบครัวไทยหันมาให้ความสำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว รวมถึงการขยายตลาด และฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยธุรกิจครอบครัวไทยมากกว่าครึ่ง หรือ 56% มุ่งเน้นในการบริหารกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและปกป้องธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลักขององค์กร ขณะเดียวกันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัลยังเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจครอบครัวจะนำมาใช้ในอีกสองปีข้างหน้า
เมื่อพิจารณาถึงความชัดเจนของบทบาท หน้าที่ และจุดแข็งของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทย เปรียบเทียบกับธุรกิจครอบครัวทั่วโลก พบว่าธุรกิจครอบครัวไทยมีแนวโน้มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้น้อยกว่า โดยมีเพียง 28% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้นที่ระบุว่าธุรกิจมีความสามารถทางด้านดิจิทัลสูง เปรียบเทียบกับ 38% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก
ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากกว่าในอดีต เช่นเดียวกับเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจครอบครัวที่ไม่ได้เตรียมรับมือ หรือปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันน้อย และจะยิ่งดำเนินธุรกิจได้ยากลำบากขึ้น
จากผลสำรวจพบว่าธุรกิจครอบครัวทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงใช้แหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิมในการขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และสินเชื่อจากธนาคาร ขณะที่ 25% ของธุรกิจครอบครัวไทยต้องการแหล่งเงินทุนเพิ่มในช่วงปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับทั่วโลกอยู่ที่ 21%
สรุปแล้วภาพรวมของธุรกิจครอบครัวไทยในปี 2564 ปีนี้ถือเป็นปีที่จะประเมินความสามารถของธุรกิจครอบครัวในการดำเนินธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 อย่างแท้จริง แต่ในทางกลับกันจะเห็นผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ และใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจเดิม หรือเกิดกิจการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเติบโตของธุรกิจในโลกยุคนิวนอร์มอลต่อไป.
รุ่งนภา สารพิน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |