ม็อบทะลุฟ้าสลายแล้ว เล็งรวมตัวใหม่แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ “ราชทัณฑ์” เผยอาการเพนกวินยังปกติ ส่วน “ธนาธร” เข้ารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 ยันเฟซบุ๊กไลฟ์เรื่องวัคซีนพระราชทานไม่เข้าข่าย “จตุพร” เดือดถูกกล่าวหาปลุกไล่ “บิ๊กตู่” วันที่ 4 เม.ย. เพราะรับงานสัมภเวสีเหลี่ยม “ทั่นเต้น” ประกาศจุดยืนการต่อสู้ไม่เปลี่ยนแปลง รับห่วงใยรุ่นลูก-รุ่นหลานที่สู้เพื่ออิสรภาพ ชี้สัญญาณเปลี่ยนแปลงชัด ถ้าไม่เข้าใจจะเสียหายทั้งระบบไม่เหลือแม้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เมื่อวันอังคารที่ 30 มีนาคม บรรยากาศบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลยังคงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หลังกลุ่มผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าได้นัดหมายเพื่อทำกิจกรรม "ตะโกนประยุทธ์ออกไป" ในเวลา 14.00 น. โดยเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาวางขวางบริเวณถนนพระราม 5 ฝั่งตรงข้ามทำเนียบฯ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า โดยระหว่างดำเนินการกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทยอยมาได้โห่ร้องไม่พอใจ
ต่อมาเวลา 14.45 น. เริ่มมีมวลชนทยอยกันเดินทางมารอเข้าร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ปล่อยเพื่อนเรา 2.ประยุทธ์ออกไป และ 3.ยกเลิกมาตรา 112 ทั้งนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมอ่านรายชื่อแกนนำที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ปิดการจราจรที่สะพานชมัยมรุเชฐ ถ.พิษณุโลกฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปแยกนางเลิ้ง โดยได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาวางปิด 1 ช่องการจราจร รวมถึงมีรถฉีดน้ำควบคุมฝูงชนมาจอดสแตนด์บายไว้ใกล้ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ส่วนการสัญจรรถยังคงสัญจรได้ตามปกติในทุกช่องทาง ยกเว้น ถ.พิษณุโลก ที่ปิดการจราจร โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจำนวน 3 กองร้อย หรือ 450 นายดูแลบริเวณโดยรอบ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่เดินทางเข้ามาร่วมกิจกรรมในเบื้องต้นคาดว่ามีประมาณ 100 คน
ในเวลา 15.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทะลุฟ้าได้นำรูปแกนนำกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาติดไว้บริเวณโล่ของเจ้าหน้าที่กองร้อยควบคุมฝูงชน ต่อมาเวลา 15.50 น. ได้ยืนเรียงหน้ากระดานบริเวณสะพานชมั?ยม?รุเช?ฐ?เพื่ออ่านแถลงการณ์?ข้อเรียกร้องเรียก 4 ข้อ คือ 1.ปล่อยเพื่อนเรา 2.จัดทำรัฐธรรมนูญ?ฉบับประชาชน 3.ยกเลิกมาตรา 112 และ 4.พล.อ.ประยุทธ์? จันทร์?โอชาออกไป ?และเล่นดนตรี นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปูพรมแดง ตั้งเก้าอี้จัดกิจกรรมจำลองการถ่ายรูปคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฉบับประชาชน เรียกตัวเองว่าคณะราษมนตรี เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนจะยุติการชุมนุมในเวลา 16.05 น. โดยหลังจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมเตรียมนัดชุมนุมใหม่ แต่ไม่ยังไม่กำหนดวันและสถานที่ รวมถึงรูปแบบการชุมนุมว่าจะเดินหรือปักหลักชุมนุม
ทั้งนี้ แม้กลุ่มทะลุฟ้าจะยุติการชุมนุม แต่กลุ่มอาชีวะยังคงชุมนุมในบริเวณดังกล่าวต่อไป
ส่วนที่ สน.นางเลิ้ง มีความคืบหน้ากรณีวัยรุ่นชายอายุ 16 ปี โยนระเบิดปิงปองบริเวณแยกสนามม้านางเลิ้งขณะตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มเดินทะลุฟ้าเมื่อช่วงค่ำวันที่ 28 มี.ค. โดยผู้ก่อเหตุยังไม่เข้ามารับทราบ ทั้งนี้ ตำรวจได้มีวิดีโอบันทึกภาพว่าในการก่อเหตุวัยรุ่นดังกล่าวใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อกเต็มใบสีขาว ได้จุดระเบิดปิงปองก่อนขว้างมาทางตำรวจก่อนพยายามหลบหนี ซึ่งเยาวชนชาย อายุ 16 ปี เคยก่อเหตุในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีมาแล้วด้วย
“เพนกวิน”ยังปกติ
ขณะเดียวกัน กรมราชทัณฑ์ได้เผยอาการล่าสุดของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน หลังประกาศอดอาหารว่า เมื่อเวลา 07.35 น. เจ้าหน้าที่พยาบาลได้ตรวจติดตามอาการ เบื้องต้นพบว่าเจ้าตัวปฏิเสธการเจาะเลือดตรวจน้ำตาลจากปลายนิ้ว โดยยังมีน้ำหนัก 103 กิโลกรัม สัญญาณชีพโดยทั่วไปปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5 องศาเซลเซียส อัตราเต้นของหัวใจ 68 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ 18 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 112/ 66 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งนายพริษฐ์ยังนอนหลับพักได้ปกติ มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย โดยยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหาร ยังคงให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและดื่มเกลือแร่ทดแทน ส่วนอาการผื่นคันบริเวณหน้าอกและผื่นที่หลังขณะนี้ลดลงแล้ว
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวถึงกรณี ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรมประสานนางสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ให้เลิกอดอาหารเพราะเป็นห่วงสุขภาพ ว่าทุกคนให้ความเป็นห่วงนายพริษฐ์ เพราะถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะเกิดปัญหา โดยได้กำชับไปแล้วต้องไม่มีเหตุอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น และสัปดาห์นี้จะวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ให้ผู้อำนวยการเรือนจำทั้งหมดรับทราบนโยบายและเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่ว่าถ้าถามข้อมูลอะไรก็ไม่ทันการณ์ มันจะเกิดความเสียหาย และต้องปฏิบัติตามระเบียบ เป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องมีความละเอียด ไม่ให้มีเรื่องของความไม่เข้าใจเกิดขึ้น และต่อความยาวสาวความยืดกัน
เมื่อถามว่า หากนายพริษฐ์เจ็บป่วยขึ้นมาโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์มีมาตรฐานเพียงพอหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องมาตรฐานโรงพยาบาลดีเหมือนกันหมด ไม่มีปัญหา เพียงแต่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์มีจำกัดเพียง 1 คนต่อนักโทษ 33 คน ซึ่งจะกำชับให้ดูแลละเอียดขึ้น
เมื่อถามว่าจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะล่าสุด น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ประกาศจะอดอาหารบ้าง นายสมศักดิ์กล่าวว่า ป้องกันอะไรไม่ได้ แต่เราระมัดระวังอย่าให้เขาเป็นอันตราย ก็ทำให้ดีที่สุด และไม่ปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะข้อมูล ต้องประสานกันให้รวดเร็วเพื่อป้องกันความไม่เข้าใจ เพราะบางครั้งก็เป็นข่าวไปหลายวัน สร้างความสับสน ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่มีอะไรรุนแรง
ขณะที่นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีศาลอาญามีคำสั่งในคำร้องคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ที่นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ได้เขียนจดหมายร้องถึงศาลขอคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตหวั่นถูกทำร้ายในเรือนจำ จากการที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าตรวจไวรัสโควิด-19 กลางดึกคืนวันที่ 15-16 มี.ค.2564 ว่ากรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดทำ Standard Operating Procedures หรือ SOPs เพื่อเป็นระเบียบกลางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ โดยเฉพาะรายละเอียดขั้นตอนพื้นฐาน เพื่อลดการใช้ดุลพินิจของผู้ปฏิบัติงานให้น้อยลง และให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในเรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงระเบียบข้อบังคับที่อาจไม่สอดคล้องกับสภาพสังคม ให้เกิดความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทบทวนเอกสารและคำสั่งที่เคยใช้ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงกลางเดือน เม.ย.นี้
ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กถึงการเดินทางไปเยี่ยมเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ของคณะอนุ กมธ.การศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน และ กมธ.การกฎหมายฯ ว่าได้มีโอกาสทักทายระยะไกลกับนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และยังได้พูดคุยทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ซึ่งไผ่แจ้งว่าความเป็นอยู่ในเรือนจำถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน กินอิ่ม นอนหลับ แต่อยากอยู่ข้างนอกมากกว่า
“ผมยังได้เสนอต่อรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้ผู้ต้องหาในคดีการเมือง โดยเฉพาะผู้ต้องหาในมาตรา 112 ได้รับความเป็นส่วนตัวในพบปะหารือกับทนาย เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้รับการประกันตัว จึงจำเป็นต้องใช้เวลาหารือกับทนายมากพอสมควร ซึ่งรองอธิบดีรับไปดำเนินการปรับปรุงต่อไป” นายรังสิมันต์โพสต์
ที่ สน.นางเลิ้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เข้าพบ พ.ต.ท.อธิชย์ ดอนนันชัย รอง ผกก. (สอบสวน) สน.นางเลิ้ง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีไลฟ์สดเฟซบุ๊กบรรยายหัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย" บนเพจคณะก้าวหน้าและเพจนายธนาธร
ธนาธรยันไม่เข้าข่าย 112
นายธนาธรกล่าวภายหลังให้ปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้ง 2 ข้อหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แม้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นเพื่อหวังให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประเทศเร็วขึ้น อีกทั้งการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กก็เกิดประโยชน์จริง เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการจัดซื้อทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม
“ได้นัดนำเอกสารหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวนเพื่อสอบคำให้การอีกครั้งในวันที่ 7 พ.ค.นี้ ผมไม่มีความกังวล และยังยืนยันว่า หากกลับไปฟังการอภิปรายจะไม่มีข้อความใดที่ละเมิดข้อหานี้เลย ส่วนกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขออนุญาตศาลให้ถอดเฟซบุ๊กไลฟ์นั้น ศาลชั้นต้นตัดสินให้คงคลิปไว้ได้ ส่วนการแจ้งข้อหาวันนี้ก็อยู่ที่ตำรวจว่าจะพิจารณาอย่างไร เพราะผมมีเจตนาดีต่อสังคม สิ่งที่พูดไว้เมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นจริงในตอนนี้ หากพึ่งบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป ก็อาจเป็นความเสี่ยงต่อสังคม" นายธนาธรระบุ
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เดินทางมาติดตามการสอบสวนคดี โดยยืนยันว่าให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อแจ้งข้อหาเสร็จจะไม่ควบคุมตัว ไม่ใช่ว่าตำรวจมีสองมาตรฐาน หรือเลือกปฏิบัติ เพราะทำตามพยานหลักฐาน ใครจะวิจารณ์ก็เป็นสิทธิ์ ส่วนสาเหตุที่ต้องเข้ามาติดตามคดีด้วยตัวเองนั้น เนื่องจากเป็นคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีคดีความมั่นคง ระดับกองบัญชาการต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ถึงการนัดชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย. ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ไม่ใช่องค์กร จึงใช้ชื่อเรียกกันว่าสามัคคีประชาชน เพื่อหยุดยั้งการสืบอำนาจต่อไปไปอย่างน้อย 6 ปีหรือมากกว่านั้น และไม่ต้องการคนตระบัดสัตย์ได้อยู่ในอำนาจต่อไป ใครไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ และต้องการสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน ต้องไปพบกันที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม วันที่ 4 เม.ย. เวลา 4 โมงเย็น
“ที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าอยากให้บ้านเมืองเป็นแบบเดิมหรือไม่ ถ้าอยากให้บ้านเมืองเกิดอะไรขึ้นแบบเดิม สื่อก็ช่วยขยายให้เขาก็แล้วกัน อยากทบทวนให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับทราบไว้ ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ได้ทำตามคำมั่นอะไรที่ให้ไว้กับประชาชน ส่วนที่บางกลุ่มปั่นกระแสใส่ร้ายว่ารับงานจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อยากบอกว่าอย่ามายัดเยียดกล่าวหากัน อย่ามาใส่ร้าย อย่ามาสกัดขัดขวางด้วยการวิจารณ์สาดเสียเทเสียกัน ผมมีคำถามง่ายๆ ใครอยากใส่เสื้อสีอะไรก็ใส่มา อยากให้ประยุทธ์อยู่ต่อก็ไม่ต้องมา ก็แค่นั้น ไม่มีใครว่าอะไรกัน การมาร่วมกันนั้นเป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ใช่เรื่ององค์กร” นายจตุพรกล่าว
ส่วนที่สำนักงาน UDD NEWS ห้างสรรพสินค้าเอเวอรี่มอลล์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. พร้อมคณะ แถลงหลังถอดกำไลอีเอ็มคืนสู่อิสรภาพ ว่าขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้ ส่วนกรณีนายจตุพรประกาศนัดถกแนวทางเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 4 เม.ย.นั้น ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้หารือเรื่องแนวทางทางการเมืองกับนายจตุพร มีโทรศัพท์พูดคุยกันบ้างก็ตามประสาพี่น้องเพื่อนมิตรที่กอดคอต่อสู้กันมา ยังไม่ได้พบปะ ยังไม่ได้พูดคุยกัน ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือนัดหมายในวันที่ 4 เม.ย. ได้ทราบเรื่องจากสื่อเท่านั้น ยังไม่ได้รับแจ้งหรือยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ
เต้นเตือนสัญญาณเปลี่ยนชัด
เมื่อถามถึงปรากฏการณ์ของนักศึกษาประชาชนในช่วงเวลานี้ ประเมินหรือไม่ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า คงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่าไปได้ไกลแค่ไหนหรือไม่ เพราะว่าเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิตอิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับตน ถ้าจะพูดได้ จะพูดเพียงว่าภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของตน และพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้ ขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในตอนนี้ แต่ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาบิดเบือนให้ร้ายป้ายสี ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการมุ่งล้มทำลายสถาบัน
“มีโอกาสได้พบกับพวกเขาหลายคนเมื่ออยู่ในเรือนจำ แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันสั้นๆ แต่ว่าห่วงใยพวกเขา และจากประสบการณ์ชีวิตที่เป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังและปฏิเสธไม่ได้ คือพวกเขายังเป็นเด็ก บางคนถ้ามีลูกเร็วตอน 24-25 ปี พวกเขาถือเป็นลูก ทั้งนี้ ชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่เกิดขึ้นคนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ เอาเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ ด้วยเหตุผลและความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เมื่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณชัดขนาดนี้ กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจ กลายเป็นว่ารัฐได้ทุ่มเทใช้กำลัง กฎหมาย ทรัพยากรต่างๆ ใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมทั้งๆ ที่สิ่งที่เป็นจริงความพยายามเข้าใจมันต่างหาก ไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง หรือมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มสาวในวันนี้ จึงถึงขั้นทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวหรือทำอะไรก็ตามแต่คนที่ล้างสมองปรารถนา ไม่ใช่จะท้าทายและออกไปเดินนำหน้าขบวนที่เขากำลังอยู่เวลานี้ แต่พูดจากหัวใจจริงๆ ถ้าหากว่าใครก็ตามจะเห็นว่าการพูดวันนี้ เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาร้ายแรงทำลายชาติบ้านเมือง ก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด ยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงมันกำลังเกิดขึ้นและเดินเร็ว ถ้าไม่เข้าใจไม่เท่าทันจะพังหมดและเสียหายทั้งระบบไม่เหลือแม้ใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เมื่อถามว่า การประกาศอยู่เคียงข้างนักศึกษาประชาชนจะมีโอกาสได้เห็นนายณัฐวุฒิขึ้นเวทีประกาศการต่อสู้อีกครั้งหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เมื่อเทียบเคียงกับน้องๆ ที่เป็นแกนนำหลักจำนวนมากในขณะนี้ ก็อาวุโสกว่าพวกเขาพอสมควร ความอาวุโสนี้ทำให้ต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราต้องรอบคอบรัดกุม และให้เกียรติ พวกเขาต่อสู้กันมา มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน มีวันเวลาที่แสดงความกล้าหาญ และแบกรับความเจ็บปวดร่วมกัน คงไม่ใช่วาระที่จะมาประกาศวันนี้ว่าจะไปขึ้นเวทีหรือเป็นแกนนำร่วมกัน มีหน้าที่ต้องเคารพและให้เกียรติพวกเขา
“คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ๆ จะเดินลงจากโต๊ะแถลงนี้เดินพรวดพราดไปขึ้นเวทีที่น้องๆ เขาสู้กันอยู่ คงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่อนาคตต่อไปข้างหน้า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น ถ้าสถานการณ์มันไม่อาจจะมีวิธีการอื่นๆ ได้ ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคต” นายณัฐวุฒิกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |