วีรบุรุษกลับมาแล้ว! 'ณัฐวุฒิ' ประกาศยืนเคียงข้าง 3 นิ้ว-แยกเดินคนละทางกับ 'จตุพร'


เพิ่มเพื่อน    

ขอบคุณรูปภาพจาก ยูดีดีนิวส์ - UDD news

30 มี.ค.64 -  ที่สำนักงาน UDD NEWS ห้างสรรพสินค้าเอเวอรี่ มอลล์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางธิดา ถาวรเศรษฐ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. ร่วมแถลงข่าวคืนสู่อิสรภาพของนายณัฐวุฒิ หลังพ้นโทษในคดีชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การเข้าไปอยู่ในเรือนจำรอบนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ตลอดชีวิตการต่อสู้ 10 กว่าปี เป็นคดีแรกที่ถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้งในเดือน ก.ค. และธ.ค. ปี 2563 และเข้าระเบียบ หลักเกณฑ์ การพักโทษ เงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์และกรมคุมประพฤติทุกอย่าง ไม่ได้มีข้อยกเว้นหรืออภิสิทธิ์อื่นใด จนได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 29 มี.ค.อย่างไรก็ตามการต่อสู้ทางการเมืองของตน ยังมีคดีความอยู่อีกหลายคดีในสารบบของกระบวนการยุติธรรมและเป็นหน้าที่ๆ จะต้องสู้ต่อไป ทั้งคดีการชุมนุมเมื่อปี 2552 -2553 หรือคดีอื่นๆ สถานะเวลานี้จึงเป็นสถานะของผู้ถูกจำคุกจากคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งถือว่าคดีถึงที่สุด ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือลงสมัครรับเลือกตั้งใดๆได้ แต่ในฐานะประชาชน ในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายจตุพร ประกาศนัดถกแนวทางเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 4 เม.ย.นั้น ได้มีการพูดคุยและจะเข้าร่วมกับนายจุตพรหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตั้งแต่ออกมา ยังไม่ได้หารือเรื่องแนวทางทางการเมืองกับนายจตุพร มีโทรศัพท์พูดคุยกันบ้างก็ตามประสาพี่น้องเพื่อนมิตรที่กอดคดต่อสู้กันมา ยังไม่ได้พบปะ ยังไม่ได้พูดคุยกัน ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือนัดหมายในวันที่ 4 เม.ย. ได้ทราบเรื่องจากทางสื่อมวลชนเท่านั้น ยังไม่ได้รับแจ้งหรือยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ นายจตุพร และคณะหลายๆ ท่านที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์มีศักยภาพ ส่วนจะกำหนดแนวทางประการใดก็ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ติดตามเอาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อถามถึงปรากฏการณ์ของนักศึกษาประชาชนในช่วงเวลานี้ ประเมินหรือไม่ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า คงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่าความเคลื่อนไหวของนักศึกษา ประชาชน เวลานี้จะไปได้ไกลแค่ไหนหรือไม่ เพราะว่าเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิตอิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับตน ถ้าตนเป็นนักต่อสู้คนหนึ่งพวกเขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคนที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของการต่อสู้เท่าเทียมกัน เคารพในความเคลื่อนไหวและความคิดเห็นของพวกเขา และคิดว่คงไม่แน่พอที่จะมานั่งประเมินสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต อิสรภาพ สิ่งที่ต้องเผชิญและแบกรับนานัปการ ถ้าจะพูดได้ จะพูดเพียงว่าภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของตน และพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้ ขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิต นักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในตอนนี้ ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาบิดเบือนให้ร้ายป้ายสีว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการมุ่งล้มทำลายสถาบัน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า มีโอกาสได้พบกับพวกเขาหลายคนเมื่ออยู่ในเรือนจำ แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันสั้นๆ แต่ว่าห่วงใยพวกเขา ทุกเช้าเมื่อเดินออกจากเรือนนอนและเดินผ่านห้องที่พวกเขาถูกจำขังอยู่ ต้องชะโงกหน้าไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะเป็นห่วงว่าน้องๆ เขาไม่เคยถูกขังมาอยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่นๆ แล้วจะอยู่อย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง ได้เห็นเวลาเขากิน เวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ เป็นนักปฏิวัติ หรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใดๆ ก็ตามแต่จากสายตาที่เห็น และจากประสบการณ์ชีวิตที่เป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังและปฏิเสธไม่ได้ คือพวกเขายังเป็นเด็ก บางคนถ้ามีลูกเร็วตอน 24-25 ปี พวกเขาถือเป็นลูก ทั้งนี้ชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่เกิดขึ้นคนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ เอาเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ ด้วยเหตุผลและความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

"เมื่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณมาชัดขนาดนี้กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจ กลายเป็นว่ารัฐได้ทุ่มเทใช้กำลัง กฎหมาย ทรัพยากรต่างๆ ใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมทั้งๆ ที่สิ่งที่เป็นจริงความพยายามเข้าใจมันต่างหาก ไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง หรือมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มสาวในวันนี้ จึงถึงขั้นทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหว หรือทำอะไรก็ตามแต่คนที่ล้างสมองปรารถนา ไม่ใช่จะท้าทายและออกไปเดินนำหน้าขบวนที่เขากำลังอยู่เวลานี้ แต่พูดจากหัวใจจริงๆ ถ้าหากว่าใครก็ตามจะเห็นว่าการพูดวันนี้ เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาร้ายแรงทำลายชาติบ้านเมือง ก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด ยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงมันกำลังเกิดขึ้นและเดินเร็ว ถ้าไม่เข้าใจไม่เท่าทันจะพังหมดและเสียหายทั้งระบบไม่เหลือแม้ใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เมื่อถามว่าการประกาศอยู่เคียงข้างนักศึกษาประชาชนจะมีโอกาสได้เห็นนายณัฐวุฒิขึ้นเวทีประกาศการต่อสู้อีกครั้งหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เมื่อเทียบเคียงกับน้องๆ ที่เป็นแกนนำหลักจำนวนมากในขณะนี้ ก็อาวุโสกว่าพวกเขาพอสมควร ความอาวุโสนี้ไม่ได้หมายความว่า เหนือกว่าเก่งกว่าหรือมีศักยภาพในการนำสูงกว่า แต่ความอาวุโสนี้ทำให้ต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราต้องรอบคอบรัดกุมและให้เกียรติ พวกเขาต่อสู้กันมา มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมีวันเวลาที่แสดงความกล้าหาญ และแบกรับความเจ็บปวดร่วมกัน คงไม่ใช่วาระที่จะมาประกาศวันนี้ว่า จะไปขึ้นเวทีหรือเป็นแกนนำร่วมกัน มีหน้าที่ต้องเคารพและให้เกียรติพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขายังต่อสู้อยู่อย่างกล้าหาญและเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ วุฒิภาวะ และการผ่านพ้นสถานการณ์ที่มากขึ้นๆ คงทำให้บางเรื่องบางแง่มุมที่มีความห่วงใยพวกเขา ๆ ก็คงทำให้เข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็คงขับเคลื่อนอย่างรัดกุมแหลมคมมากขึ้น

“ คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ๆ จะเดินลงจากโต๊ะแถลงนี้เดินพรวดพราดไปขึ้นเวทีที่น้องๆ เขาสู้กันอยู่ คงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่อนาคตต่อไปข้างหน้า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น ถ้าสถานการณ์มันไม่อาจจะมีวิธีการอื่นๆได้ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคต” นายณัฐวุฒิกล่าว

เมื่อถามว่าทุกคนบนเวทีนี้มีแนวโน้มที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องนั้น เรื่องจะเคลื่อนไหวมวลชนขนาดใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ตรงนี้อยากจะอธิบายเพื่อความเข้าใจชัดเจนว่า องค์กรนำของ นปช. ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำถามเรื่องวันที่ 4 เม.ย. ที่จริงเรื่องนี้ไม่เคยพูดมาก่อน มีเพื่อนมิตรพี่น้องพูดไปแล้วบ้าง แต่อาจจะยังไม่ครบถ้วน สำหรับองค์การนำของ นปช. หรือคณะแกนนำ นปช. ชุดที่ท่านเคยเห็นต่อสู้มาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว พวกเรายอมรับในการนำรวมหมู่ และปรึกษาหารือมีที่ประชุมในการถกอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นแนวทางขับเคลื่อนทางการเมืองร่วมกันมา 10 กว่าปี แต่เนื่องจากในช่วงเวลาประมาณ 2 ปีกว่าๆ มาแล้ว ภายหลังนายจตุพร ออกจากเรือนจำครั้งล่าสุดไม่กี่วัน ก็ได้มีการสนทนาในหมู่แกนนำจำนวนหนึ่ง นายจตุพรได้เล่าให้ฟังว่าจะทำงานการเมืองในนามพรรคการเมืองคือพรรคเพื่อชาติ ตนนั่งฟังอยู่ด้วยจนจบ และได้ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องที่กำลังพูดอยู่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพี่น้องและขบวนการของเรา จึงเรียกร้องให้มีการประชุมแกนนำเพื่อหารือประเด็นนี้ แต่ก็ยังไม่มีการนัดประชุมแกนนำ เพื่อนมิตรบางคนก็เห็นด้วยว่าเมื่อตกลงว่าจะทำกันไปแล้วก็ควรจะเดินหน้ากันต่อไป บางส่วนก็เห็นว่าไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราเคยต่อสู้กันมา แต่ก็ไม่ได้มีการประชุมแกนนำ นปช. เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้ก็ พวกตนเดินออกมาจากห้างอิมพีเรียลลาดพร้าวและเลือกสถานที่แห่งนี้ในการทำกิจกรรมต่อ

"ผมกับคุณจตุพร เราเป็นพี่น้องกัน ในทางส่วนตัวอย่างไรก็แยกกันไม่ได้ แล้วความปรารถนาดีก็ยังมีให้กันอยู่เสมอ แต่ว่าในแง่ของกระบวนการทางการเมือง ในแง่ของการขับเคลื่อนทางการเมืองในฐานะองค์การนำของ นปช. แบบเดิมนั้น ในข้อเท็จจริงมันไม่ได้ดำรงสภาพอยู่แล้วเกือบ 3 ปี ดังนั้นข้อความเคลื่อนไหวใดๆ ต่างๆ ที่คุณจตุพรและคณะดำเนินการนั้น ก็เป็นไปอย่างที่ผมได้อธิบายความไปตั้งแต่ตอนต้นว่าเรายังไม่ได้ทราบเรื่อง และคงจะเป็นคนที่ติดตามข่าวสาร ติดตามความเคลื่อนไหว และไม่มีเจตนาจะไปกระทบกระทั่งใดๆ กับคณะที่เคลื่อนไหวกันอยู่เพราะว่าอย่างที่เรียนว่าทุกคนมีประสบการณ์และมีศักยภาพ ก็แล้วแต่ว่าจะหารือกันอย่างไร”นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า มีสิ่งที่จะฝากทิ้งทายให้คิด มีโอกาสได้ถามนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ในเรือนจำว่า ข้างนอกมีการเอาคำปราศรัยของตนไปพูดถึง และตะโกนชื่ออยู่หลายเวที รู้จักได้อย่างไร เพนกวินบอกเขาเห็น ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เมื่อราวปี 2553 คำตอบของเขาง่ายๆ สั้นๆ แต่ทำให้ต้องเอามาคิดยาว เหตุการณ์ผ่านมาถึงปี 2563 เพนกวินมาเป็นแกนนำการต่อสู้ มีคดีความติดคุกติดตาราง ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเหยิงหาข้อยุติไม่ได้ อีก 10 ปีข้างหน้าลูกชายตน จะมีอายุเท่าเพนกวินในวันนี้ และไม่แน่ว่าคนที่จะต้องวิ่งขึ้นลงบันไดศาล และต้องพยายามทุกอย่างให้ลูกได้รับอิสรภาพอาจจะไม่ใช่แม่เพนกวินหรือแกนนำราษฎรคนอื่นๆ ในวันนี้ แต่อาจจะเป็นตนที่เป็นพ่อของดช.นปก ใสยเกื้อ ดังนั้นถึงบอกว่าคนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโตและรู้ความด้วยซ้ำไป ไม่มีใครต้องทำลายกันและกันให้พินาศวอดวายกับคนหนุ่มคนสาว ดังนั้นขอให้เมตตาอย่าอาฆาต กรุณาและอย่าพยาบาท เชื่อว่าบ้านเมืองมีทางออก และขอส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชน คนหนุ่มสาว และเยาวชนที่ต่อสู้ในเวลานี้ อยากบอกทุกคนว่าพี่เต้นยังอยู่ตรงนี้ พี่เต้นยังอยู่เคียงข้างเสมอ เป็นกำลังใจ เข้าใจ เห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"