เหตุเรือยักษ์เกยตื้นที่คลองสุเอซมีผลอย่างไรต่อไทย?

            สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยประเมินว่า

            โดยเฉลี่ยแต่ละวันจะมีเรือขนส่งประมาณ 50 ลำแล่นผ่านคลองสุเอซ ดังนั้นการที่คลองปิดอาจจะส่งผลกระทบทำให้การขนส่งอาหาร น้ำมัน และสินค้าต่างๆ ระหว่างยุโรปและตะวันออกต้องหยุดชะงักไปด้วย

            อาจส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น

            และทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปมีความล่าช้าออกไป

            ระยะสั้นจะส่งผลทำให้สินค้าที่ขนส่งในเส้นทางที่ผ่านคลองสุเอซได้รับความล่าช้า แม้ว่าจะทำการเคลียร์เรือออกไปได้แล้วก็ตาม

            ในช่วงแรกๆ อาจทำให้เกิดปัญหาติดขัด เนื่องจากการกระจุกตัวของเรือที่ค้างอยู่ทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือเกิดการดีเลย์

            นอกจากนี้จะส่งผลกระทบทำให้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่ขาดแคลนอยู่แล้วทวีความรุนแรงมากขึ้น

            ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ จำนวน 35 ลำ ที่ไม่สามารถแล่นผ่านคลองสุเอซได้

            ดังนั้นหากคำนวณจำนวนตู้คอนเทนเนอร์โดยคร่าวๆ ที่บรรทุกในเรือดังกล่าวนี้ จะมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 600,000 ถึง 700,000 TEUs

            แต่หากกระบวนการแก้ปัญหาของ The Suez Canal Authority (SCA) ล่าช้าออกไปก็จะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าโดยสารเดินเรืออาจต้องพิจารณาเปลี่ยนไปขนส่งสินค้าผ่านแหลม Good Hope ทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา

            นั่นแปลว่าจะต้องเพิ่มเวลาการขนส่งอีก 10-15 วัน

            และต้นทุนการขนส่งก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

            โดยประมาณการว่าเรือคอนเทนเนอร์หนึ่งลำบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้ 20,000 TEUs

            จึงมีข้อเสนอแนะสำหรับสมาชิกผู้ส่งออกและนำเข้าว่า

            1.หากสงสัยว่าตู้สินค้าอาจอยู่บนเรือที่ติดอยู่ที่คลองสุเอซ หรือมีการส่งออกสินค้าที่จะต้องผ่านคลองสุเอซ และอาจจะได้รับผลกระทบในเรื่องความล่าช้า ให้ประสานกับสายเดินเรือเพื่อสอบถามสถานะของตู้และแจ้งลูกค้าปลายทางให้ทราบ เพราะสินค้าจะไปถึงลูกค้าปลายทางล่าช้ากว่ากำหนดแน่นอน

            2.เมื่อเกิดเหตุนี้แล้วก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงความแออัดยัดเยียดของท่าเรือต่างๆ และทำให้เกิดผลกระทบต่อตารางเรือโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

            ดังนั้นผู้ส่งออกหรือนำเข้าไทยที่กำหนดจะส่งสินค้าไปยังยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันออกก็ต้องเช็กตารางเรือกับสายเรือที่ให้บริการ

            3.เหตุการณ์นี้ย่อมถือได้ว่าเป็น “เหตุสุดวิสัยอันเกิดจากทัศนวิสัยที่ไม่ดี” ดังนั้นความล่าช้าของการขนส่งจากที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายกับสายเดินเรือได้

            แต่หากผู้ส่งออกหรือนำเข้ามีการทำประกันที่ครอบคลุมความเสียหายในกรณีที่สินค้าดีเลย์ ก็สามารถติดต่อประกันภัยให้เข้ามาดูแลและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาการขนส่งล่าช้าได้

            สายเรือ Evergreen ซึ่งเป็นเจ้าของเรือ Ever Given ได้ออกประกาศแจ้งว่าในการพยายามจะกู้เรือนั้น ได้ส่งทีมกู้ภัยผู้เชี่ยวชาญ 2 ทีม

            ทีมแรกเป็นของเนเธอร์แลนด์ (Smit Salvage) และทีมที่สองจากญี่ปุ่น (Nippon Salvage) เพื่อเร่งดำเนินการร่วมกับ Suez Canal Authority เพื่อดำเนินการกู้เรือโดยด่วน

            สายเรือ Maersk ได้แจ้งสถานะของเรือ Maersk ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ โดยแจ้งให้ผู้ส่งออกทราบถึงตารางเรือที่เปลี่ยนแปลงใหม่

            รวมถึงทางเลือกในการขนส่งให้ผู้ส่งออกได้ทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจเช่นกัน

            เรือที่รอคิวอยู่ขณะนี้มีประมาณ 170 ลำ มีประเภทต่างๆ ดังนี้

            เรือบรรทุกสินค้า Bulk Carrier 40 ลำ

            เรือคอนเทนเนอร์ Container 35 ลำ

            เรือคาร์โกทั่วไป General cargo 32 ลำ

            เรือน้ำมันดิบ Crude Oil 17 ลำ

            เรือปิโตรเคมี Chemical Products 17 ลำ

            เรือน้ำมันสำเร็จรูป Oil Products 15 ลำ

            เรือ LPG 10 ลำ

            เรือปศุสัตว์ Livestock 8 ลำ

            สินค้าของประเทศไทยที่ผ่านคลองสุเอซส่วนใหญ่มีปลายทางอยู่ที่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป รัสเซีย

            สินค้าสำคัญของไทยที่ส่งออกไปยุโรป อาทิ คอมพิวเตอร์ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน

            ความเสียหายมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ความสามารถจะกู้เรือได้ในกี่วัน และจะสามารถ ”เคลียร์” พื้นที่ได้เร็วและมีประสิทธิภาพเพียงใด

            เพราะทุกคนต่างก็เจอกับภัยพิบัติระดับนี้ ณ จุดนี้เป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งสิ้น.