หายหน้าหายตาจากหน้าจอไปจนแฟนๆ อดไถ่ถามไม่ได้ว่า สา-มาริสา อานิต้า หลังให้วงการบันเทิงไปอีกคนแล้วหรือเปล่า ซึ่งเจ้าตัวที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เผยว่ายังไม่หยุดรับงานในวงการ เพียงแต่เลือกที่จะรับบทมากขึ้น ช่วงนี้เลยผันตัวไปรับบทเป็นจิตอาสาแทน ถึงขั้นเข้าคอร์สพาน้องหมาสุดที่รักไปเรียนเพื่อช่วยบำบัดผู้ป่วยประเภทต่างๆ
“ไม่เชิงไม่รับ แต่ด้วยความที่คนส่วนใหญ่ ผู้จัดหรือคนดู จะติดลุคเราที่เป็นลุคเซ็กซี่เราเลยรู้สึกเบื่อกับการเล่นละครที่เป็นลุคเซ็กซี่มากๆ ค่ะ เพราะว่าเราเคยได้ยินคนพูดว่า สามันเล่นอะไรไม่ได้หรอก ต้องเล่นเซ็กซี่อย่างเดียว ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นปมในใจ ฟังแล้วมันเจ็บ เราทำงานมามากกว่า 20 ปี มีค่ามากว่าคำว่าเซ็กซี่ ก็เลยไม่ค่อยรับงานที่มีความเซ็กซี่เลย จะรับคือ น้อยๆ มากๆ ถ้าเป็นบทดราม่าแรงๆ แบบนี้รับหมดค่ะ แต่จริงๆแล้วบทอะไรก็รับหมดขอให้ขายความสามารถ
(เห็นว่าตอนนี้ไปทำโครงการจิตอาสา) สาไม่ได้เป็นคนเริ่มทำโครงการนะคะ มีโครงการมาอยู่แล้ว Therapy Dog Thailand หรือว่า สุนัขนักบำบัด แห่งประเทศ ซึ่งโครงการนี้คือให้เราเอาน้องหมากับเราไปฝึก ซึ่งพอฝึกเสร็จแล้วเขาก็จะพาเรากับน้องหมาไปช่วยบำบัดผู้ป่วยประเภทต่างๆ ซึ่งเรากับน้องหมาของเราจะกลายเป็นนักบำบัด เราจะพาน้องหมาไปบำบัดคนอีกที คือ ง่ายๆ เลยคือ น้องหมา เปรียบเหมือนเครื่องมือแพทย์ อย่างเช่น ผู้สูงวัย เด็กพิเศษต่างๆ คนหูหนวก หรือว่าผู้ป่วยจิตเวช
ที่เรารู้จักโครงการนี้เพราะว่าเราเลื่อนเฟซบุ๊กเล่นค่ะ แล้วก็เห็น ด้วยความที่สาเลี้ยงน้องหมาอยู่แล้ว เราก็ฝึกเขาเรื่อยๆ ด้วยกิจกรรมต่างๆ เลยคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราน่าจะช่วยคนอื่นได้ด้วยความที่น้องหมาของเราค่อนข้างฉลาด ซึ่งเราก็ได้เข้าไปเรียนและก็ได้ประกาศนียบัตร จาก สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้จำกัดว่าเป็นน้องหมาพันธ์อะไรก็ได้นะคะ ที่จะเข้าไปเรียน แต่ต้องมีอายุ 6 ขวบขึ้นไปไม่เกิน 7 ขวบ แล้วก็ไปสมัครเรียนได้เลย
หลักๆ ของสาตอนนี้คือเราจะทำงานกับโรงพยาบาลก่อน เพราะว่าทั้งหมดที่เราทำคือ เราเป็นจิตอาสาไม่ได้รับเงิน เราก็จะไปตามบ้านพักคนชรา หรือ โรงพยาบาลศรีธัญญา หรือ ตามสถานที่ที่มีเด็กพิเศษ ก็จะช่วยเข้าไปดูแล ซึ่งเราก็จะอยู่ด้วยตลอดเวลาค่ะ เพราะว่ามีกฎว่าน้องหมาตัวนี้เป็นของเรา เราเป็นนักบำบัดเราจะต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งเราจะไปเยี่ยมต่อครั้งก็ขึ้นอยู่กับทางแพทย์เป็นคนกำหนดค่ะ ว่าเราจะเยี่ยมคนนี้กี่ครั้งครั้งละกี่นาที
ซึ่งหลักสูตรที่สาเข้าไปเรียนเป็นหลักสูตรที่ยากนะคะ ก่อนที่เราจะเข้าไปเรียนเราจะต้องสอบทั้งตัวของเราในเรื่องของทัศนะคติ ว่าเราเป็นคนแบบไหน เฟรนลี่พอไหม เพราะเราจะต้องเข้าไปคุยกับผู้ป่วยประเภทต่างๆ แล้วน้องหมาก็ต้องทำคำสั่งพื้นฐานได้ ซึ่งระยะเวลาในการเรียนคือ ประมาณ 6 เดือนค่ะ ใน 6 เดือนเรียน 2 วัน วันละ 6 ชั่วโมง การเรียนก็แบ่งเป็นการเรียนแบบจิตวิทยา ที่เราต้องไปคุยกับคน แล้วที่เราต้องไปคุยกับน้องหมา พฤติกรรมน้องหมา เพื่อเราจะได้รู้ว่าการทำท่าทางแบบนี้น้องหมาคิดอะไรอยู่เพื่อเราจะได้ป้องกันอุบัติเหตุที่เราไม่คาดคิด
(เคยลงไปรักษามีเคสไหนที่ยากบ้าง) เป็นผู้ป่วยจิตเวชค่ะ เคยมีเคสหนึ่งน้องหมาของเราใส่ปลอกคอแล้วมีเชือกจูงใช่ไหมค่ะ ก็คุยๆ กันอยู่ดีๆ แล้วเขาก็บอกว่า พี่ค่ะหนูชอบเชือกมากเลยค่ะ แล้วเราก็ถามว่าจะเอาเชือกไปทำอะไร เขาก็บอกว่าหนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แล้วเขาก็เอาเชือกคล้องคอตัวเอง ซึ่งเขาทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอันนี้เราก็ต้องคอยระวัง แล้วก็ต้องทำให้เขาปล่อยเชือกเส้นนั้นโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกบีบบังคับ มันเลยต้องใช้ทั้งจิตวิทยา ไหวพริบ และความสามารถของน้องหมาเราด้วย
(เราได้เข้ามาทำโครงการนี้แล้วในอนาคตเราจะต่อยอดอะไรได้อีกไหม) เราก็คาดหวังว่าต่อไปมันจะสร้างอาชีพให้กับทีมของเราได้ ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยนะคะ ไปเป็นเพื่อนหรืออะไรก็ได้ ซึ่งตอนนี้สาก็รับสอนน้องหมาตามบ้านด้วย เราจะต้องสอนอะไรน้องบ้าน พื้นที่ในบ้านเราควรจะจัดพื้นที่ยังไง เวลาของน้องหมาควรจะเป็นแบบไหน อาหารของน้องหมาควรจะกินแบบไหน ซึ่งเราจะเข้าไปสอนในพฤติกรรมของเขาเป็นแบบบวก แต่เราจะรับสอนน้องหมาที่อายุไม่เกิน 1 ปี นะคะ ต้องจัดระเบียบตั้งแต่เด็ก”
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |