พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 12 มกราคม
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พ.ศ.2561 นี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ประทานคติธรรมลงในหนังสือวันเด็ก ของกระทรวงศึกษาธิการ มีใจความสำคัญ กล่าวถึงวิธีการครองตนเป็นคนดี เป็นที่รักของทุกคนวิธีหนึ่ง เรียกว่า "อัตถจริยา" ได้แก่ การบำเพ็ญประโยชน์ การประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
อาทิ การช่วยเหลือ ทำงาน สร้างสรรค์เพื่อสังคม ด้วยความตั้งใจ ด้วยความดีงาม และมีสติปัญญา สำหรับหนังสือวันเด็กแห่งชาติปีนี้ ชื่อ "ฮีโร่ตัวจิ๋ว" มีเนื้อหาภายในเล่ม เป็นการนำเสนอเรื่องราวดีๆ ของเยาวชนไทย ที่คัดเลือกมาจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ที่ให้ทั้งความสนุกสนาน และจินตนาการ อีกทั้ง เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับเด็กไทยให้รู้รักสามัคคี
ดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการทำความดี และสืบสาน รักษา ต่อยอด สิ่งดีงาม ตามพระราโชวาท ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสอดคล้องกับปัจจุบันนิยม ได้แก่ โครงการจิตอาสา " เราทำความดี ด้วยหัวใจ" นะครับ
และในโอกาสเดียวกันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราโชวาท สำหรับเด็กและเยาวชนความว่า "บ้านเมืองเรามีสิ่งดีงามมากมาย ที่บรรพบุรุษได้สร้างสมไว้ให้เรา เด็กทุกคน ผู้เป็นอนาคตของชาติ จึงมีหน้าที่สืบสาน และรักษา สิ่งดีงามเหล่านั้นไว้ พร้อมทั้ง สร้างเสริม พัฒนา ให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป"
ผมขอให้ลูกหลานไทยทุกคนได้น้อมนำคติธรรม และพระราโชวาท ดังที่ได้กล่าวมานั้น ไปปรับใช้ในการดำรงชีวิต และในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขนะครับ ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนเป็นกำลังสำคัญ ที่จะพาบ้านเมืองไทยให้รุ่งเรืองสืบไปได้อย่างบริบูรณ์ในภายภาคหน้า ก็ด้วยผู้ใหญ่ในวันนี้ ได้ช่วยกันปลูกฝัง และสร้างสรรค์ให้เด็กและเยาวชน เป็นผู้หนักแน่นในคุณธรรม
อย่างน้อยที่สุด ขอให้เด็กๆ รู้สึกอิ่มเอม และเบิกบานใจทุกครั้ง ที่ได้ทำความดี ได้สร้างคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อย หรืออุปสรรคใดๆ และ ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า "พลังแห่งความศรัทธา" จากจุดเล็กๆ จากคนตัวเล็กๆ แล้วเมื่อรวมตัวกัน ด้วย "พลังความสามัคคี" แล้ว ย่อมมีอานุภาพสูง ผมจึงอยากให้ลูกหลานของเราได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ใช้พลังเหล่านั้น เพื่อสังคม และประเทศชาติ ในทางที่ถูกนะครับ
สำหรับคำขวัญของนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้ คือ "รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี" ซึ่งผมเห็นว่าศักยภาพของเด็กไทย ไม่ได้ย่อหย่อนไปกว่าเด็กชาติไหนๆ ในโลกนะครับ ยก ตัวอย่าง ตัวแทนนักเรียนอาชีวะของเรา สามารถสร้างชื่อ คว้าแชมป์การแข่งขันแกะสลักหิมะน้ำแข็งนานาชาติ ประจำปี 2561 ที่ประเทศจีน
สร้างสถิติรักษาแชมป์สมัยที่ 2 ให้กับทีมตนเอง และสมัยที่ 9 ให้กับประเทศไทย อย่างน่าชื่นชม ทั้งๆ ที่บ้านเราก็ไม่มีหิมะตกนะครับ และ อากาศก็ไม่หนาวมาก จนน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง แต่เราก็มีพลังความคิดสร้างสรรค์ สามารถจะสะท้อนศิลปะไทย อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ผ่านก้อนน้ำแข็ง โดยให้ชื่อผลงานว่า "อาชา-ปักษา-มัจฉา-วารี" หรือ ม้า-นก-ปลา-และน้ำ อันสะท้อนถึงความเป็นชาติไทย และคนไทย คือ ความเจริญ ก้าวหน้า - ความมีอิสรเสรี - ความมั่นคั่งอุดมสมบูรณ์ - และความสุข นะครับ
จากคำขวัญ "วันเด็ก" ที่มอบให้ ผมก็อยากให้เด็กไทยในยุค "ไทยแลนด์ 4.0" ได้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลและ สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ของเราเองได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ถ้าเด็กของเราขาดซึ่ง "ครู" ที่มากด้วยคุณภาพ และศักยภาพ เพราะ "ครู - นักเรียน" มีความผูกพัน เชื่อมโยงกัน เหมือน "เหตุและผล" นะครับ เมื่อเหตุดี ผลก็งดงามตามมาด้วย
ดังนั้น ผมจึงขอมอบคำขวัญ "วันครู" ครั้งที่ 62 ประจำปี 2561 ซึ่งตรงกับวันที่ 16 มกราคม 2561 ว่า "ศิษย์ดี ก็ด้วยครูดี มีศรัทธา" ก็คือ ต่างฝ่ายต่างมีศรัทธาให้แก่กันและกัน ที่สำคัญ "ทั้ง 2 ฝ่าย" ต้องมีศรัทธาในสิ่งที่ทำ ก็คือ ความดี และการสร้างคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม และประเทศชาติ นะครับ
ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และ ขอขอบใจเยาวชนลูกหลาน จากทั่วประเทศนะครับ ที่มีน้ำใจส่ง ส.ค.ส. อวยพรปีใหม่ ถึงนายกรัฐมนตรี ถึง "ลุงตู่" นะครับ ซึ่งความปรารถนาเหล่านั้น จะช่วยสร้างกำลังใจให้กับผมในการทำงานเพื่อพวกเราทุกคน เพื่อประเทศชาติ ทำให้ผมรู้สึกว่า "เรามีความใกล้ชิดกัน" สัมผัสกันได้ และ "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" นะครับ ก็ขอให้พรอันประเสริฐเหล่านั้น ส่งผลเกื้อหนุนให้ทุกคน และครอบครัว มีความสุข ความเจริญ ด้วยเช่นกัน
สำหรับ "งานวันเด็กแห่งชาติ" วันพรุ่งนี้ ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายใต้ชื่องาน "เด็กไทย ก้าวไกลด้วยเทคโนโลยี" ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมของกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ที่นำมาแสดงภายในบริเวณงาน และ เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เป็นประจำทุกปี นะครับ
สำหรับการจัดงานของหน่วยงานราชการบริเวณใกล้เคียงก็มีกระทรวงศึกษาธิการ ฝั่งตรงข้ามถนนราชดำเนิน สวนสัตว์ดุสิตที่เปิดให้เที่ยวชมฟรี หรือศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดให้มี "Fin for Fun Camping" นะครับ ก็น่าจะเป็นอีกประสบการณ์ที่น่าสนใจ ทำให้เข้าใจเรื่องการวางแผนการเงิน และวินัยการออมนะครับ เป็นเรื่องเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง ผ่านเกมสนุกๆ สำหรับเด็กๆ ที่เหมาะสมกับวัยนะครับ ที่มีคำว่า Fin นั้น ง่ายๆ ก็คือเกี่ยวกับเรื่องการเงินนะครับ เพราะฉะนั้นก็อยากให้ทุกคนได้เรียนรู้นะครับ
พี่น้องประชาชนที่รัก ทุกท่านครับ, วันเด็กปีนี้ รัฐบาลก็ไม่เพียงแต่มีคำขวัญ หรือ การจัดงานตามปกติเท่านั้น แต่ได้เตรียมของขวัญสำหรับเด็กและสังคมไทย เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้จัดการให้มี "สถานีวิทยุเด็กและครอบครัว" เป็นช่องทางเฉพาะ ที่มีรายการหลากหลาย เพื่อเยาวชน ทุกช่วงวัย และครอบครัว
ปัจจุบันประเทศของเราเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" (หรือ Aging society) เต็มรูปแบบ ในอนาคตอันใกล้ ในขณะที่อัตราการเกิดในบ้านเราน้อยลง คือ เด็กเกิดน้อยลงนะครับ ในจำนวนที่ลดลงนี้ กลับมีอัตราการเกิด และ การท้องที่ไม่พร้อมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง คนรุ่นใหม่ แม้มีความพร้อมทางเศรษฐกิจ แต่อาจจะไม่ประสงค์จะมีลูกนะครับ หรือไม่อยากจะแต่งงาน
เพราะฉะนั้น บ้านเราจึงจะมีปัญหาซ้ำเติม 2 ชั้น คือนอกจากเด็กจะเกิดน้อยแล้ว ยังมีความเสี่ยง ที่เด็กเกิดมาน้อยนั้น ด้อยคุณภาพ อาจจะส่งผลต่อ "แรงงาน" ของชาติในอนาคตด้วยนะครับ รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เป็นอย่างมาก ด้วยเด็กๆ คือ อนาคตของชาติ จะทำอย่างไร ให้เด็กที่เกิดมาแม้จะน้อยลง แต่มากด้วยคุณภาพ เพราะพวกเขาต้องเติบโต กลายมาเป็นกำลังหลักในยุคต่อไป
ยิ่งยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัล เต็มบ้านเต็มเมืองนะครับ เรายิ่งต้องตระหนัก และช่วยกันดูแลลูกหลานของเราให้รู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามที่ผมได้กล่าวไว้ ในคำขวัญวันเด็กแล้วนะครับ เพราะต้องการจะเน้นให้เด็กๆ โดยเฉพาะ ตั้งแต่เด็กเล็กนะครับ ให้รู้เท่าทัน และใช้เทคโนโลยี อย่างสร้างสรรค์
เด็กบางคนที่ติดเกม ต้องเป็นการเล่นเกมที่เกิดประโยชน์ หรือฝึกทักษะ แบบนี้สามารถส่งเสริมให้ถูกทางได้นะครับ แต่หากเป็นการถูกเกมมอมเมาแล้ว พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ต้องช่วยกัน ป้องกัน แก้ไขสังคม และสื่อมวลชน ก็ต้องช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับลูกหลานไทยด้วยนะครับ
เรื่องนี้สำคัญมากโดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติถึงความสำคัญกับเด็กเล็กไว้เป็นครั้งแรก โดยในมาตรา 54 วรรคสอง ว่า "...รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็ก ได้รับการดูแล และพัฒนา ก่อนเข้ารับการศึกษาเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญาให้สมกับวัย..." อีกทั้งยังเขียนสำทับไว้ ใน "หมวดปฏิรูป" อีกต่างหาก
รัฐบาลจึงจะให้ของขวัญวันเด็ก แก่เด็กและครอบครัว ด้วยการมอบ "ความรู้" ที่ถูกต้อง เหมาะสม กับพัฒนาการเด็ก "ทุกช่วงวัย" ด้วยการนำร่องทำสถานีวิทยุเด็กและครอบครัว โดยเฉพาะ ไม่มีรายการอื่นปะปน ผมได้มอบนโยบายให้กรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งศึกษา หาแนวทางการดำเนินการมาเสนอ โดยให้เริ่มออก อากาศในทันที่ที่พร้อม
ถึงจะออกอากาศไม่ทันในวันเด็กนี้นะครับ แต่คาดว่าจะทันใน "วันครอบครัว" เดือนเมษายนปีนี้ แน่นอนนะครับ สิ่งที่ผมต้องให้นโยบายเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่ารายการทางสื่อนั้น ที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะรายการเด็ก ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับ "ความสำเร็จทางธุรกิจ" นะครับ ที่วัดกันด้วยผลประโยชน์และกำไร "ที่เป็นเงินตรา" จึงมุ่งเน้นนำเสนอรายการบันเทิงเริงรมณ์ นะครับ ซึ่งก็ไม่ได้เสียหายนะครับ เพียงแต่ว่าเราต้องมีทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้ ในทางธุรกิจนั้นอาจจะแข่งขันกันไม่ได้นะครับหรือไม่มีรายได้ที่มีผลต่อการประกอบการ เพราะฉะนั้นการที่จะผลิตสื่อสำหรับเด็กและครอบครัวนั้น เป็นเรื่องที่ยากนะครับ
ซึ่งวัดความสำเร็จ ด้วย "คุณภาพชีวิต และศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ ของชาติ" ที่ไม่อาจสะท้อนได้จากเพียง GDP เท่านั้นนะครับ เราต้องคำนึงถึง "ความสุข" ของคนในชาติ เป็นสำคัญ ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงต้องเข้ามาสนับสนุน และ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเอง ในส่วนที่เอกชนไม่ลงทุน เช่นเดียวกับ โครงการ "เน็ตประชารัฐ" ถึงทุกหมู่บ้าน ทั่วประเทศนะครับ สิ่งที่กล่าวมานี้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา และการปฏิรูปสื่อมวลชน และระบบดิจิตอล เทคโนโลยีด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ, ในด้านการบังคับใช้กฎหมาย และ การดำเนินการด้านกระบวนการยุติธรรม เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทำให้สังคมน่าอยู่ เป็นที่ยอมรับของสากล และนานาประเทศ เป็นอีกงานหนึ่งนะครับที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด มีผลการดำเนินงาน ตามภารกิจด้านกระบวนการยุติธรรมนี้ ประกอบด้วย นโยบายหลัก 6 ประการ
1. การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ผ่านมานั้น นับว่ามีสถานการณ์น่าเป็นห่วงนะครับ เห็นได้จากสถิติ "ผู้ต้องขังคดียาเสพติด" ทั่วประเทศ มากถึงร้อยละ 72 ของผู้ต้องขังทั้งหมด รัฐบาลนี้ จึงต้องเร่งดำเนินการและใช้มาตรการที่เข้มงวด โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2560 สามารถจับกุม และดำเนินคดีผู้ต้องหา ในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ได้ถึง 2 แสนกว่าราย
นี่ไม่ใช่ตัวเลขที่เราภาคภูมิใจนะครับ แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความหนักหน่วงของปัญหา ที่จะส่งผลต่อคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ในการขับเคลื่อนประเทศของเราในอนาคต รวมความวันนี้ด้วยนะครับ รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ทั้งการป้องกันที่ "ต้นเหตุ" และ การปราบปรามเพื่อ "ระงับเหตุ"
กล่าวคือ ในการป้องกันปัญหา สร้างภูมิคุ้มกันแต่เนิ่น ในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีการใช้สื่อการสอน ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ให้เห็นโทษของยาเสพติด เสริมสร้างทักษะชีวิต และ จัดให้มีนักเรียนแกนนำสำหรับดำเนินกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้ลูกหลานของเราห่างไกลยาเสพติด
สำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจผ่านโครงการโรงงานสีขาว และ การป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้านและชุมชน ผ่านกลไกประชารัฐ กองทุนแม่ของแผ่นดิน ในส่วนของ "การปราบปราม" ยาเสพติดนั้น เราได้กระชับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปฏิบัติการเชิงรุก ณ แหล่งผลิต สกัดกั้นเส้นทางขนย้ายเข้าสู่ชายแดนไทย
ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร - ข่าวกรอง เพื่อร่วมกันปราบปราม - ทำลายขบวนการค้ายา ทั้งภายนอก และภายในประเทศ ที่สำคัญอีกด้าน คือ "โครงการช่วยฟื้นฟูผู้ติดยา เพื่อคืนคนดีสู่สังคม" ให้สามารถกลับมาเป็นคนที่มีคุณภาพ ประกอบสัมมาอาชีพ เพื่อเลี้ยงปากท้องของตนเองและครอบครัวได้ ต่อไป
สิ่งที่รัฐบาลทำได้ คือ การสร้างบรรยากาศปลอดภัยจากยาเสพติดนอก "รั้วบ้าน" ส่วนในทุกหลังคาเรือนนั้น ความอบอุ่นใน "ครอบครัว" นะครับ จะเป็นเกราะป้องกันลูกหลานของเรา ให้รอดพ้นสิ่งเสพติด และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งผู้ที่เคยผิดพลาดในอดีต และ ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ในวัยคึกคะนอง นะครับ
2. การสร้างความปลอดภัยและสงบสุขในสังคม พบว่าในปี 2560 ที่ผ่านมา มีการรับแจ้งคดีอาญา “ลดลง” จากปี 2559 ร้อยละ 10 โดยฝ่ายความมั่นคงได้เน้นการป้องกันที่ต้นเหตุ อาทิ การสร้างภูมิคุ้มกันในกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ให้กระทำผิดทางอาญา ไม่มั่วสุมแข่งรถ ไม่รวมกลุ่มตีกัน รวมถึงสนับสนุนสถานศึกษา ทำงานร่วมกับเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยร่วมกันป้องกันการทำผิดของเยาวชน การแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูผู้กระทำผิดร่วมกันอย่างยั่งยืน ด้วยการให้ฝึกอาชีพ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
เช่น “โครงการประชารัฐพัฒนาผู้ต้องขังสู่ภาคอุตสาหกรรม” รวมทั้งการติดตาม ช่วยเหลือให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เหล่านี้นอกจากจะสามารถช่วยลดการกระทำผิดซ้ำแล้ว ยังเป็นการเพิ่ม “พลเมืองดี” ให้บ้านเมืองด้วยครับ ช่วยให้โอกาสกันด้วยนะครับ ช่วยกันดูแล ช่วยกันให้โอกาสคนเหล่านี้ไว้ด้วย นะครับ
3. การยกระดับการอำนวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำโดยในปี 2559 ไทยมีดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law index)อยู่ในลำดับที่ 46 จาก 113 ประเทศ โดยแม้ว่าเราจะมีคะแนนสูงสุดในด้านความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย แต่ยังคงต้องปรับปรุงในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมด้านประสิทธิภาพของระบบและกลไกการดำเนินการ โดยเฉพาะด้านคดีอาญา ที่ผลการประเมินอยู่ที่ลำดับที่ 11 จาก 15 ประเทศในภูมิภาค
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้ได้ในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังสนับสนุนและผลักดันให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
ไม่ว่าจะเป็นโจทก์ หรือจำเลย ก็จะมีทุนรอนในการดำเนินคดีต่างๆ เช่น มีเงินประกันตัว เพื่อกลับมาดูแลครอบครัว มีเงินจ้างทนาย ไว้ปรึกษาเรื่องคดีความ รวมถึง หาหลักฐานอื่น ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของตัวเอง ในชั้นศาลโดยในปี 2560 มีผู้ได้รับการอนุมัติให้ใช้เงินทุนจากกองทุนยุติธรรม จำนวน 2,500 กว่าราย
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่ การช่วยประชาชนในการจ่ายค่าทดแทนและ ค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา เกือบ 12,000 ราย รวมทั้ง มีการจัดตั้งคลินิกยุติธรรม ปัจจุบันมีอยู่ที่ 86 แห่งทั่วประเทศ และให้ความช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว ราว 44,000 ราย ด้วยนะครับ ที่เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2558 เป็นต้นมา
4. การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้ทันสมัย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมและความต้องการของประชาชน รวมถึง การพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ การวิจัยนวัตกรรม เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน อาทิ การพัฒนาศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล การทำ Big Data และ การเพิ่มระบบการเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย นะครับ
5. การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมด้านความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ ที่ไทยถูกจัดให้อยู่ในระดับกลุ่มที่ 2 ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ "ต้องจับตามอง" ของสหรัฐฯ หมายถึง เราถูกประเมินว่าไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของการจัดการ ค้ามนุษย์ให้ครบถ้วน ซึ่งผมให้ความสำคัญเร่งด่วนมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดให้เป็น "วาระแห่งชาติ" และมีแผนแม่บทในการดำเนินงานอย่างชัดเจน โดยจะต้องมีการพัฒนาข้อมูลให้ดีขึ้น มีการเอาจริงเอาจังกับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในขบวนการค้ามนุษย์
มีการสร้างกลไกการแจ้งเหตุ รวมทั้ง มีการคุ้มครอง และช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการจ้างงานแรงงานต่างด้าว รวมถึง ความร่วมมือกับภาคเครือข่าย ในการป้องกันปัญหาในระยะต่อไปด้วยครับ
อีกปัญหา คือเรื่องหนี้นอกระบบที่ผมได้เอ่ยถึงอยู่บ่อย ๆ เพราะถือเป็นภาระของพี่น้องประชาชนที่ยังแก้ไขได้ยาก พี่น้องผู้มีรายได้น้อยต้องประสบปัญหารายได้ ที่ต่ำอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ ก็ต้องถูกนำมาใช้หนี้ จนอาจทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงทางสังคมซึ่งภาครัฐ ก็ได้มีมาตรการระยะสั้น ในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมถึง การปรับโครงสร้างหนี้ และในระยะยาว ก็ต้องเร่งสร้างรายได้กับพยายามออมอย่างมีวินัยด้วย นะครับ ต้องช่วยกัน
และ 6. การเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อจัดการกับความขัดแย้งด้วยการจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และ มีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเสริมสร้างให้สังคมไทยเป็น "สังคมที่เคารพกติกา" และปลูกฝัง "สันติวัฒนธรรม" หรือ วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ตั้งแต่ระดับชุมชน จนถึงระดับชาติ แล้วก็ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธีแห่งชาติขึ้น โดยสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจประเด็นต่าง ๆ ด้วยเหตุผล การรับฟัง สังคมเข้มแข็ง มีกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสบนพื้นฐานของความไว้วางใจ และ ปลูกฝังให้ประชาชนมีคุณธรรมจริยธรรมภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดความสงบสุข การอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้านเลย นะครับ
ทั้งนี้ใน "ก้าวต่อไปของประเทศไทย" นั้นนอกจากการปรับปรุง และพัฒนา งานด้านยุติธรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง ให้ได้ผลเป็นรูปธรรม แล้ว รัฐบาลได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เคยทรงให้สติย้ำเตือนความรับผิดชอบของรัฐบาลและ ข้าราชการทุกคน ดังนี้
"...หลักที่ว่าทุกคนต้องทราบถึงกฎหมาย และต้องทำตามกฎหมายนั้นรู้สึกว่าบางครั้ง ก็ใช้ไม่ได้ ....เพราะว่ากฎหมายไม่ถึงประชาชน ต้องนึกบ้างว่า เป็นความผิดทางราชการ ที่ไม่สามารถจะนำกฎหมาย ไปให้ถึงประชาชน..."
ดังนั้น ผมขอให้ผู้เกี่ยวข้อง ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ที่มีกฎหมายในความรับผิดชอบของตน ในการบังคับใช้ ต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องกฎหมายนั้น ๆ แบบเชิงรุก ล่วงหน้า เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไร้ข้อสงสัย
อีกทั้ง ให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้สิทธิพื้นฐาน คำปรึกษา และการให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม / ซึ่งกฎหมายสำคัญ อันเป็น "วาระของชาติ"
สำหรับปีใหม่นี้ นอกจากเรื่องการเลือกตั้งแล้ว ยังมีเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ และปฏิรูปประเทศ ที่ผมอยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ได้ให้ความสนใจ /ภาครัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องพร้อมประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ อย่างทั่วถึง / ภาคประชาชนเอง ก็ต้องตระหนัก และขวนขวายด้วยเช่นกัน / เพราะนี่จะเป็น "จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ที่พวกเราทุกคนรอคอยมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ / สำคัญต่ออนาคตของบ้านเมือง โดยเฉพาะลูกหลาน ในวันข้างหน้า / เยาวชน - นักศึกษา ก็ไม่เร็วเกินไป ที่จะให้ความสนใจ และเข้ามามีส่วนร่วม เพราะอนาคตของชาติ ก็คือ "ชีวิตของท่าน ในวันข้างหน้า" นะครับ
สุดท้ายนี้ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ในวันพรุ่งนี้ / เราต้องมีการเตรียมตัว คือ เตรียมคนไทย เตรียมประเทศไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกาภิวัฒน์ ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล และ บริบททางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของโลก / นับเป็นความท้าทายของเราทุกคน และ "ทุกรัฐบาล" นับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป /
สิ่งสำคัญ หากเราไม่สามารถแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเอง โดย "คิดใหม่ มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า ก้าวไกล" อย่างมีทิศทาง เป้าหมายชัดเจน เพื่ออนาคตแล้ว อาจเกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ทันการณ์ได้
ดังนั้น ผมในนามของนายกรัฐมนตรี คสช. ก็อยากเชิญชวนเด็ก เยาวชน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ได้ออกมาช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศชาติ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกับ การปฏิรูปประเทศในทุกด้าน อย่างต่อเนื่อง / ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับบ้านเมืองของเราในวันนี้ และในวันข้างหน้า / "คนไทยทุกคน" ต้องร่วมมือ ร่วมใจกันในการที่จะขับเคลื่อนประเทศของเราต่อไป นะครับ
สำหรับสัปดาห์หน้า วันที่ 17 มกราคม นี้ผมมีกำหนดการลงพื้นที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดที่รัฐบาลให้ความสนใจเป็นพิเศษ อีกจังหวัดหนึ่งเนื่องจากลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ และสภาพปัญหามีความแตกต่าง จากจังหวัดอื่นๆ ของไทย /ซึ่งรายละเอียด และผลการพบปะพี่น้องประชาชน รวมถึง การแก้ปัญหาต่างๆ นั้น ผมจะนำมาเล่าให้ฟัง ในวันศุกร์หน้า นะครับ
ขอบคุณครับ สำหรับในวันเด็กนี้ก็มีการแสดง มีการสาธิตต่างๆมากมาย ขอให้ทุกคนปลอดภัยทั้งที่มาเที่ยวงาน ทั้งผุ้ที่สาธิต การฝึก หรือการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ก็ขอให้ทุกคนปลอดภัย อย่าให้มีอันตราย อย่าให้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ระมัดระวังด้วย ทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง/ ขอให้ "เด็กไทยทุกคน และทุกครอบครัว" มีความสุข
อีกประการหนึ่งก็คือการที่ผมออกมาพูดวันศุกร์ผมพูดมา 3 ปีกว่าแล้ว หลายคนอาจจะไม่ได้ติดตาม หรือติดตามน้อย หรือติดตามแล้วอาจไม่เข้าใจ ผมคิดว่าบางครั้งอาจใช้คำพูดที่ยากเกินไปหรือมีเรื่องมากเกินไป บางคนก็รู้สึกเบื่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพูดวันนี้ใครที่สนใจและอาจจะไม่ได้ฟังผมในการพูดในวันศุกร์ในเวลาเหล่านี้
ถ้าสนใจก็สามารถเปิดดูได้ในเวปไซต์ของรัฐบาลนะครับ ซึ่งออกหลังจากรายการออกไปแล้วทุกครั้ง อีกประการหนึ่งก็ในสื่อ ผมเห็นมีสื่อหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่จะมีคำพูดของผมทั้งหมดนะครับ ในหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันเสาร์นะครับ ใครที่สนใจก็ขอให้ติดตามได้
อยากให้ทุกคนได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดว่าที่ผมพูดมามีความมุ่งหมายอะไร มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรทำเพื่อใคร ผมไม่อาจจะอ้างว่ามาทำประโยชน์แล้วทุกคนต้องรักผม ไม่ใช่ ผมอยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน เข้าใจถึงความมุ่งมั่น ความปรารถนาดีที่เรามีต่อกัน
ถ้ายังมีปัญหาอะไรก็ขอให้ติดต่อสอบถามมาทางทำเนียบรัฐบาลได้ มีคำแนะนำอะไรต่างๆก็ตาม มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมายในการมาตอบคำถามผมด้วย 4 ข้อ 6 ข้อ ก็ยังมีการตอบอยู่นะครับ หลายอย่างก็นำมาปรับใช้
ขอขอบคุณทุกคนนะครับ ที่แนะนำมาและติดตาม ขอบคุณอีกครั้งสำหรับผู้ที่ส่งบัตรอวยผมให้กับผมในช่วงปีใหม่และในช่วงวันเด็กนะครับ ขอบคุณทุกคน ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันเด็กแห่งชาติและวันหยุดสุดสัปดาห์ ปลอดภัยทุกคน
สวัสดีครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |