ไม่นานมานี้ มีผู้แนะนำให้รู้จักเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ไทรักษา” ทราบว่าเป็นทีมงานเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่กล้ารวมกลุ่มประกาศตัวปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่ง “ไทรักษา” เป็นคนละกลุ่มกับ “ไทยภักดี” แม้ว่าอุดมการณ์จะคล้ายกัน และอยู่คนละฝั่งกับเยาวชนปลดแอกและเครือข่ายชาวสามนิ้วเหมือนกัน
ผมเข้าไปอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อน น้องๆ ออกตัวชัดเจนว่าไม่รับเงินบริจาค เปิดเพจมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนเพิ่งเคลื่อนไหวจริงจังเมื่อ 2 เดือนก่อน แม้สมาชิกของกลุ่มจะมีแค่ 1,000 คน ยอดผู้ติดตามเพจไม่มาก ราวๆ 17,000 คน ในจำนวนนี้อาจมีถึงครึ่งหนึ่งที่พ้นวัยเยาวชนไปแล้วหลายปี แต่ก็ทำให้ใครบางคนครั่นคร้าม ถึงขั้นทำเพจปลอมของกลุ่มไทรักษาขึ้นมา มีคนหลงเข้าไปจำนวนไม่น้อยจนน้องไทรักษาต้องบอกวิธีชาวโซเชียลให้สังเกตของแท้-ของเทียม
วันที่ผมเข้าไปดูเพจของกลุ่มไทรักษา มีโพสต์ใหม่ล่าสุดเสนอเรื่องเยาวชนกับการถูกล้างสมองไว้อย่างน่าสนใจ ได้รับการอธิบายว่าเป็นข้อเขียนหรือวิทยาทานจากนักพัฒนาพฤติกรรม-บุคลิกภาพ-ศักยภาพมนุษย์ชั้นนำท่านหนึ่งที่ถ่ายทอดมาให้น้องๆ กลุ่มนี้ แม้เจ้าตัวจะไม่เปิดเผยนาม แต่ท่านผู้อ่านก็สามารถพิจารณาความน่าเชื่อถือจากเนื้อหาได้
ขออนุญาตน้องๆ ไทรักษาและเจ้าของเรื่องเผยแพร่ต่อ โดยขอตัดทอนออกบ้างบางส่วนครับ
***********************
เอะอะก็ล้างสมอง ล้างสมอง เราเองก็อยากรู้ สมองนะไม่ใช่จานข้าว ทำไมสมองถูกล้างง่ายจัง แล้วมันล้างกันได้จริงหรือ
(1) ทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดว่าเราถูก “ล้างสมอง” ทั้งๆ ที่เรารู้ดีว่า สมองของเรา ความคิดเรา เรารู้ดีว่าเราคิดเราทำอะไรอยู่ คิดเป็น วิเคราะห์ได้ จะไปถูกล้างตอนไหนกัน!!!
ความจริงก็คือ ถูก....เราทุกคนรู้ดีที่สุด แต่!! เป็นรู้ดีที่สุด ณ อายุที่เป็นอยู่ตอนนี้ ในวงเล็บโตๆ (((รู้ดีที่สุดเท่าความรู้ความคิดความอ่านของสมองเรา “ตอนนี้ไง”)))
เพราะตอนนี้เราก็แก่ที่สุดเท่าที่อายุเราเคยมีมา แต่สิ่งสำคัญมากๆ ที่อยากจะบอกให้เพื่อนๆ ได้รู้คือว่า
“สมองด้านความคิดวิเคราะห์” ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองข้อมูลที่เข้ามา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไตร่ตรอง มองหลายๆ ด้าน แล้วค่อยตัดสินใจ หรือลงมือกระทำใดๆ (หรือที่เขาเรียกว่า prefrontal cortex) ของเรายังโตไม่เต็มที่จนกว่าอายุจะถึง 25 นะ!!
ลองอ่านข้อมูลเพิ่มเล่นๆ ตรงนี้ได้เลย University of Rochester Medical Center เขียนเรื่องสมองวัยรุ่นได้แบบเข้าใจง่ายๆ https://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=3051
เราลองไปถามพ่อแม่หรือครูของเราดูก็ได้ว่า สมัยวัยรุ่นเคยทำอะไรที่คิดว่าฉลาดมาก แต่มองย้อนกลับไปแล้วโคตรอายเลยบ้างไหม ถ้าพ่อแม่หรือครูของเราเป็นคนที่จริงใจพอ หรือวันนี้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากพอที่จะกล้าแบ่งปันประสบการณ์ รับรองเราได้ฟังเรื่องยาวแน่
(2) โอเค สมองยังโตได้ไม่สุด...แล้วสมองก่อนอายุ 25 มันเป็นยังไงล่ะ?
จากการศึกษาและพิสูจน์แล้วทั่วโลกนะ สมองช่วงวัย 10-18 ปี เป็นช่วงที่สมองส่วนกลางด้านอารมณ์ถูกพัฒนาขึ้น
ทำให้คนวัยนี้มีอารมณ์รุนแรง รักมาก เกลียดมาก อินง่าย เชื่อง่าย และ “เชื่องง่าย”
ใช่แล้ว...เราได้ยินไม่ผิดจริงๆ สมองวัยนี้ ทำให้เรา “เชื่อง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าเราเฟียสและเฟี้ยวสุด”
แต่ที่ทำให้เรารู้สึกว้าวเลยก็คือ เรามองตัวเราเองว่า “เฟี้ยว” เป็นตัวของตัวเอง โดดเด่น มีจุดยืน มีตัวตน แต่ๆๆๆ สำหรับ นักจิตวิทยามวลชนระดับสูง เราก็คือ “ม้าพยศเฟี้ยวๆ ที่เชื่องมาก” และเขาสามารถทำให้เราเชื่องไปตามเขาได้ โดยที่เราเข้าใจว่าเรากำลังพยศอยู่ด้วยซ้ำ
(3) วอทท...มันจะเป็นอย่างงั้นไปได้ไง?
ก็เพราะนักจิตวิทยามวลชนระดับสูง เขารู้จัก “hack สมอง” ของเราไงล่ะ เขารู้ว่า สมองด้านความคิดวิเคราะห์ (prefrontal cortex) ที่ทำหน้าที่คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่ว่านั้นจะถูกสร้างตั้งแต่เยาว์วัย หากครอบครัวไหนสอนให้ลูกมีวินัย รู้จักผิดชอบชั่วดี สอนอย่างมีเหตุผล สอนให้รู้จักการหักห้ามใจตั้งแต่ยังเล็ก พอถึงอายุ 25 ปี สมองส่วนนี้ก็จะโตเต็มที่ ทำให้คิดเรื่องต่างๆ อย่างเป็นเหตุผลได้มากกว่าตอนวัยรุ่นฮอร์โมนพุ่ง และได้มากกว่าคนวัยเดียวกันที่ในวัยเด็กเติบโตมาแบบถูกทำร้ายทางคำพูดและร่างกาย ถูกทำให้กลัว หรือถูกตามใจ ถูกสปอยล์มากๆ
นักจิตวิทยามวลชน รู้อย่างนี้ เขาก็จะใช้วิธีการ hack สมอง ด้วยการสร้างชุดคำ หรือสร้างข้อมูลที่ทำให้เรา “กลัว” เช่น (ยกตัวอย่างนะ) ถ้าไม่ฆ่ายิว ยิวจะฆ่าเรา, ถ้าประเทศยังมีสิ่งนี้อยู่ เราจะไม่มีอนาคต, ถ้าไม่มีสิ่งนี้ เราคงสบายไปแล้ว, ตราบใดเรายังไม่กำจัดสิ่งนี้ สิ่งนี้จะกำจัดโอกาสของเรา
แล้วเขาก็รู้ว่า สมองส่วนอารมณ์ของเราโตมากกว่าส่วนเหตุผล เขาก็ป้อนอาหารให้สมองส่วนนี้ด้วย “ชุดคำ” ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ชุดคำที่ทำให้รู้สึกน่ารังเกียจหรืออับอายถ้าเห็นต่าง ชุดคำที่ปลุกใจให้รู้สึกฮึกเหิมภูมิใจในตัวเอง (เพราะเขารู้ว่า วัยนี้เป็นวัยที่กำลังต้องการการยอมรับเป็นอย่างมาก)
(4) พอ hack ได้ ก็ “ล้าง” ได้ โดยที่ม้าพยศเฟียสๆ เฟี้ยวๆ อย่างเราไม่รู้ตัว
พูดง่ายๆ พอ hack ได้ ก็ใส่ชุดข้อมูลใหม่ไปแบบเนียนๆ ชุดคำที่ว่ามานี่แหละ จะถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ ดูเผินๆ ถ้อยคำอาจจะต่าง แต่จริงๆ แล้ว มันคือการค่อยๆ ล้าง ปล่อยออกมาสู่สมองไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ แต่ม้าพยศคิดว่า มีอะไรใหม่ๆ ตื่นเต้นอยู่เสมอ
เช่น ในตอนที่ฮิตเลอร์ต้องการล้างสมองยุวชน เขารวบรวมเอาเด็กวัยรุ่นมา แล้วป้อนข้อมูลซ้ำๆ ว่า พวกยิวคือคนเลว ยิวคือคนน่ารังเกียจ ยิวฆ่าได้ พร้อมกับยัดเยียดความกลัวให้วัยรุ่น เช่น ถ้ามียิวพวกเราจะล่มสลาย ใครชอบยิวจะถูกบูลลี่อย่างรุนแรง
ด้วยวิธีง่ายๆ นี้ ฮิตเลอร์สามารถผลิตกองทัพยุวชนฮิตเลอร์ที่เกลียดชังยิวแบบฆ่ายิวได้โดยไม่รู้สึกอะไร จากหลักพันไปสู่หลักล้านได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
หรือในกรณีของยุวชนเรดการ์ดในจีน เหมา เจ๋อตุง ล้างสมองเยาวชนโดยกรอกข้อมูลให้กลัวว่าวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวจีนจะทำให้พวกเขาขาดอนาคตหมดหวัง แล้วใช้ “อุบายจริงหนึ่งส่วน ไม่จริงเก้าส่วน” คือพูดความจริงหนึ่งเรื่องตามมาด้วยการโกหกใส่ร้ายอีกเก้าเรื่อง
เช่น เอาวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ดูไม่สมเหตุสมผลเพียงหนึ่งหรือสองวัฒนธรรม ที่ยุวชนรู้สึกว่าไม่ถูกใจ ไม่เข้าท่าอยู่แล้วมาใช้เป็นหลักฐานในการบอกว่าวัฒนธรรมเก่าแก่นั้นล้วนแล้วแต่แย่ ไม่เข้าท่า ไร้อนาคต
(5) ม้าพยศที่แสนเชื่อง ชอบอยู่เป็นฝูงเสียด้วย
นักจิตวิทยามวลชนเขายังรู้อีกว่า ในวัยรุ่น สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือการยอมรับจากเพื่อน และหากคนไหนคิดต่าง ก็จะรู้สึกแปลกแยก ไม่เข้าพวก หรือไปจนถึงขั้นถูกบูลลี่ เขาก็เลยสร้างผู้นำฝูง ให้ดูห้าวหาญ เสียงดัง กล้าได้กล้าเสีย บ้าบิ่น โดดเด่น เท่ (ในสายตาวัยเดียวกัน) เพื่อให้เพื่อนๆ วัยเดียวกันชื่นชม ยอมรับ มีความมั่นใจที่จะเชื่อและทำตามมากขึ้น
เมื่อผู้นำฝูงพูดหรือทำอะไรที่โดนใจ ดูสอดคล้องกับข้อมูลที่เคยถูกป้อนมาไว้ก่อน ผู้นำฝูงก็ได้สิทธิ์อันชอบธรรม ได้รับยกย่องว่าเป็น “ผู้นำความคิดของเยาวชน” ทีนี้แหล่ะ เขาจะพูดอะไรก็ได้ เพราะเขาได้ซื้อใจเยาวชนและทำให้เชื่อไปแล้ว เยาวชนที่กลัวความดูไม่คูล ไม่ฉลาด (ตามช่วงวัยนี้) ก็จะเชื่องในลีลาพยศไปทั้งฝูงเลย ในยุคยุวชนเรดการ์ด พวกเขาได้เผาทำลายวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของตัวเองทิ้ง เพื่อให้เหมา เจ๋อตุง เริ่มวัฒนธรรมใหม่
พวกเขาในวันนั้น ปัจจุบันคือคนแก่ที่ลูกหลานของตัวเองก็อับอายที่จะไปบอกใครต่อใครว่าพ่อแม่ของตัวเองคือยุวชนเรดการ์ด คนจีนปัจจุบันได้แต่เสียดายกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของชาติมากมาย ถูกทำให้สูญหายโดยคนรุ่นพ่อแม่ตัวเอง
ในยุคปัจจุบัน ใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ หลักการก็ไม่ต่างจากสมัยฮิตเลอร์ หรือ เหมา เจ๋อตุง แต่ด้วยระบบ algorithm ของ social network ที่วัยรุ่นไปใช้ชีวิตอยู่กันนั้น ทำให้การล้างสมองทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อนเป็นไหนๆ ไม่ต้องตั้งค่ายมาป้อนข้อมูลอีกแล้ว
เพราะทันทีที่วัยรุ่นเสพสื่อฝั่งไหน ระบบ algorithm ก็จะจัดส่งข้อมูลด้านเดียวตามที่เขาสนใจไปให้ แบบไม่มีด้านอื่นปนเลย
เป็นการล้างสมองที่เหนื่อยน้อยกว่าสมัยก่อนมาก
(6) ถามจริง มันจะง่ายเบอร์นั้นเลยเหรอ???
มันง่ายกว่าที่เธอคิดอยู่แน่นอน ไหนจะ algorithm สุดเผือก ที่รู้ไปเสียทุกอย่างในชีวิต แต่มันไม่ใช่แค่รู้ มันยังกำหนด ชี้นำ และชักใยเราและทุกคนอย่างน่าขนลุก
แค่นั้นยังไม่พอ “ทีมนักจิตวิทยามวลชน” มีเป้าหมาย มีกลยุทธ์ ที่ปรับเปลี่ยนได้เร็วตามสถานการณ์ มีแผน A, B, C, D...นับไม่ถ้วน และทำงานกันเป็นระบบ
ทำให้ผลิตชุดคำ ข้อมูล ภาพ หลักฐาน (แบบจริงหนึ่งส่วน ไม่จริงเก้าส่วน) เรื่องราว ได้เป็นซีรีส์ เป็นแคมเปญ เป็นชุดๆ ไม่มีวันหยุด
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เผด็จการ = เลว, สลิ่ม = โง่ คือคำแห่งความเกลียดชัง ที่พอถูกพูดซ้ำๆ ก็เกิดการแตกแยก แล้วก็ทำให้คำเหล่านี้เป็นภาพที่ไปด้อยค่าคนคิดต่าง ตลก และเลวทราม ซึ่งทำได้ง่ายและได้ผลมากกว่าที่เราคิด เช่น แค่ทำมีมคำเหล่านี้กับรูปตลกๆ สมองของเราก็จะรวมเรื่องตีความให้ว่าคนแบบนี้คือตัวตลก ลองนึกภาพดู เอาภาพคนสวยๆ มาใส่เขาควาย ถ้าเห็นซ้ำๆ หลังจากนี้พอเห็นผู้หญิงคนนี้เราก็คิดว่านางโง่แล้ว หรือเอาภาพนักแสดงเท่ๆ มาถือเบียร์แล้วปาร์ตี้สนุก สมองเราก็จะตีความว่ากินเบียร์นี้แล้วเท่ด้วยสนุกด้วย นี่คือการกรอกจิต เหมือนกรอกหู แต่กรอกลงจิตเลย
จะว่าไป ทีมนักจิตวิทยามวลชน มีงานที่ต้องทำไม่กี่อย่าง
1.คิดและผลิตชุดคำ ข้อมูล เพื่อผลที่ต้องการออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การมี hashtag ใหม่ๆ การตั้งชื่อใหม่ๆ การออกแคมเปญใหม่ๆ ไม่หยุด
2.ทำให้ดูว่าฝั่งของตัวเองมีจำนวนเยอะกว่า เพราะวัยรุ่นไม่ชอบที่ตัวเองจะไม่เข้าพวก และรู้สึกปลอดภัยที่คิดและทำอะไรเหมือนเพื่อนๆ
3.นำเสนอข้อมูลด้านเดียวแบบอีกด้านไม่มีอะไรดีเลย เวลาที่ผ่านไป ยิ่งเห็นแต่ความดีของฝั่งเรา และอีกฝั่งก็มีแต่เรื่องแย่ๆ
นอกจากนี้ขอให้สังเกตดีๆ การล้างสมองจะเปิดหัวเรื่องแรงๆ ใช้คำแรงๆ ให้ตรงเข้าสมองส่วนอารมณ์แบบไม่ต้องอ้อมเลย
(7) พอเราอายุ 25 เราก็จะรู้ทัน ไม่โดนล้างแล้วใช่ไหม?
มันก็ไม่แน่
ตั้งแต่ปี 2009 ที่ social media / social network แพร่หลายในโลกใบนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีอัตราของเด็กที่พบจิตแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อัตราเด็กฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเกิน 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
หลายคนคงได้ดูสารคดี Social Dilemma ใน Netflix กันมาบ้างแล้ว เรายอมรับว่าเราเห็นด้วย วัยรุ่นยุคนี้เป็นยุคที่เสี่ยงอันตรายและอ่อนไหวที่สุด เพราะอยู่กับ social network ทำให้เราสามารถสนองกิเลสแบบไม่มีเบรก ไปเสพ content มากมายที่สร้างให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกตลอด สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนยาเสพติด ที่ทำให้สมองของเราที่กำลังถูกสร้างตามวัยถูก delay หรือถูกทำลาย
เมื่ออารมณ์ความรู้สึกถูกใช้ตลอดเวลา ในขณะที่ “เครื่องกรอง” ยังไม่พร้อม เพราะสมองด้านความคิดวิเคราะห์ยังสร้างไม่เต็มที่ ก็จะกลายเป็นคน “เอาอารมณ์นำชีวิต” เป็นคนมีอารมณ์รุนแรง ขาดความยับยั้งชั่งใจ เฟียสหนักเกินเบอร์ แค่เจอลูกยุก็เล่นใหญ่สนองแรงเชียร์ของเพื่อนๆ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เราคงเห็นตัวอย่างวัยรุ่นมากมายที่ทำอะไรลงไปแบบดับอนาคตตัวเอง มาเสียใจก็ไม่ทันเสียแล้ว
สมองของเรานี่แหล่ะคือสิ่งกำหนดอนาคตของเรา!!!
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.goodtherapy.org/blog/psychpedia/prefrontal-cortex
https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-athletes-way/201312/why-is-the-teen-brain-so-vulnerable
https://encyclopedia.ushmm.org/content/en/article/indoctrinating-youth
https://taiwantoday.tw/news.php?unit=4&post=6958
https://www.bbc.com/news/in-pictures-36274660
https://www.wired.co.uk/article/what-happens-to-teenage-brain-on-social-media
http://f3magazine.unicri.it/?p=1353
https://www.verywellfamily.com/ways-social-media-affects-teen-mental-health-4144769
https://www.thenation.com/article/archive/the-ways-to-destroy-democracy/
https://www.nytimes.com/1970/01/04/archives/the-making-of-a-red-guard-the-making-of-a-red-guard.html
*************************
ปลายปีที่แล้ว มีนักข่าวชาวฝรั่งเศสที่เป็นเพื่อนกันทางโซเชียลมีเดีย (แต่ในชีวิตจริงแทบไม่รู้จักกัน) เธอต้องการหาเยาวชนที่ไม่ใช่กลุ่มปลดแอก กลุ่มราษฎร และกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลาย เพื่อสัมภาษณ์ถ่วงดุลน้ำหนักในเนื้อหาข่าวการเคลื่อนไหวของชาวสามนิ้ว เธอส่งข้อความหาผมหลังไม่ได้คุยกันเป็นสิบปี แสดงว่าผมต้องไม่ใช่รายแรกๆ ที่เธอติดต่อเพื่อกิจธุระนี้
เธออยู่เมืองไทยมาอย่างน้อยก็คง 15 ปี น่าจะมีเครือข่ายมากมาย แต่ไม่สามารถหานักเรียนนักศึกษาที่ไม่ใช่ชาวสามนิ้วเพื่อสัมภาษณ์ได้เลยสักคน ผู้ช่วยชาวไทยหรือที่เรียกว่า “ฟิกเซอร์” ก็หาให้ไม่ได้
ผมเองไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน แต่รับอาสาจะหาให้ภายในเวลาที่เธอกำหนดไม่เกิน 2 วัน นึกถึงอาจารย์ที่เคารพรักท่านหนึ่ง ซึ่งดูแลด้านกิจกรรมกิจการของนิสิต นักศึกษา เรียกได้ว่ารู้จักและสนิทกับเยาวชนคนรุ่นใหม่มากมายหลายคน
“เท่าที่รู้ไม่มีเลย ครูไม่รู้จักเลย อาจจะมีนะ แต่ไม่มีใครกล้าแสดงตัว” คือคำตอบจากอาจารย์ท่านนั้น ผมถามไปอีกสถานศึกษา รุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์บอกว่า “มีอยู่คนหนึ่ง แต่เรียนจบทำงานแล้ว ที่เรียนอยู่ก็อาจมีบ้าง แต่กลัวเพื่อนบูลลี่ ก็เงียบๆ ไว้”
สุดท้ายผมหาคนไม่ได้ ต้องขอโทษขอโพยนักข่าวฝรั่งพร้อมกับอาการเสียฟอร์มนิดๆ
น่าเสียดายที่เพิ่งรู้ว่ามีกลุ่มไทรักษา.
ภาพประกอบจากเพจไทรักษา https://www.facebook.com/thraksa910
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |