สังคมแสวงหา..ลูกโป่ง


เพิ่มเพื่อน    

     ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับลูกโป่งคนละใบ และถูกขอให้เขียนชื่อตัวเองลงบนลูกโป่ง แล้วเอาไปใส่ไว้ในอีกห้องจนเต็ม จากนั้นพิธีกรได้บอกให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเข้าไปในห้องนั้นแล้วหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองนำกลับออกมา

     ภายใน 5 นาที ห้องนั้นก็เหมือนเกิดจลาจล ทุกคนต่างรีบหาลูกโป่งของตัวเอง เหยียบลูกโป่งคนอื่น ทั้งดึง ทั้งดัน กระทบกระทั่ง ล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายไม่มีใครหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองอยู่เจอเลย

     พิธีกรประกาศให้หยุด แล้วเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาประกาศให้ทุกคนค่อยๆ หยิบลูกโป่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วประกาศเรียกหาเจ้าของชื่อมารับลูกโป่งไป ภายใน 3 นาที ทุกคนได้ลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเองครบทุกคน

     ....................

     พิธีกรสรุปให้ฟังว่า สังคมของเราเป็นอย่างนี้ ทุกคนต่างมุ่งหาความสุข (ลูกโป่ง) ของตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น ไม่เอื้ออาทร ไม่แคร์แม้ต้องเหยียบย่ำความสุขของคนอื่น แต่เมื่อใดที่ทุกคนมอบความสุข (ลูกโป่ง) ให้กับเพื่อนร่วมสังคมก่อนทีละคน ทุกคนจะได้ความสุขเท่าๆ กัน ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

     มนุษย์ป้าอายุปูนนี้ ยอมรับว่าจริงเสียยิ่งกว่าจริง มิเช่นนั้นเราคงไม่เห็นข่าวเห็นภาพคนเหยียบกันตาย เพราะจะหนีไฟไหม้ หรือวิบัติภัยต่างๆ 

     แต่ประสบการณ์จริงทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในยุคดิจิตอล ที่สามารถเห็นได้กับตาถึงความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ หรือชิงดีชิงเด่นต่างๆ นั้น ดูเหมือนเข้าทำนอง..เจ็บไม่รู้จักจำ หรือไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา สภาพสังคมแก่งแย่งกันโดยปราศจากวินัยจึงยังมีให้เห็นทุกบ่อย

     แม้กระทั่งการเข้าคิวเพื่อรับอาหารในวัด ที่มีการตั้งโรงทานแจกจ่ายให้รับประทานกันฟรีๆ ก็ยังปรากฏภาพของคนนุ่งขาวห่มขาวไม่รู้จักเคารพสิทธิ์ของผู้มาก่อนควรจะต้องได้ก่อน ผู้มาทีหลังควรจะต้องรอ นอกจากนั้นบางครั้งก็มักจะมีภาพของผู้ใหญ่เลือกที่จะหลีกทางให้เด็กแซงคิวไปก่อน โดยการมองว่านี่เป็นความมีน้ำใจไมตรี มีเมตตา แต่กลับมองข้ามความสำคัญของระเบียบวินัยที่จำเป็นต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย

     ทำอะไรตามอำเภอใจ คือไทยแท้ ...ยังไม่สามารถบริหารจัดการให้ถูกทิศถูกทาง จึงเป็นเหตุให้การแสวงหาความสุขแบบฉาบฉวย ไม่สนใจต่อคนรอบข้างเกิดขึ้นตลอดเวลา

     ฉะนั้น ความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจ และความเมตตานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกหยิบมาใช้ให้ถูกกับกาลเทศะ มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นความเคยชินที่เป็นดาบสองคม และเป็นการอยากมีอยากได้โดยไม่สนใจว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่.

                                                                                             "ป้าเอง"                          


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"