“อนุทิน” ย้ำหลังแลกเก้าอี้ รมต.กับ ปชป. การทำงานในกระทรวงจะเป็นเอกภาพ ประชาชนได้ประโยชน์ "พลังชล" ฝาก รมว.ศธ.ปฏิรูปการศึกษา จี้รัฐบาลแก้สารพัดปัญหาฟื้นความเชื่อมั่น เลขาฯ ครป.ผิดหวังปรับ ครม.ไม่มีอะไรใหม่ ได้รัฐมนตรีตามโควตามุ้งการเมืองเก่าในพรรคแบบไร่หมุนเวียนอำนาจ จับตา "สามมิตร" ชน "4 ช." ปมเลื่อยขาเก้าอี้เลขาฯ พรรค "อนุชา"
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 25 มีนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ได้สลับโควตารัฐมนตรี โดยนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ไปเป็น รมช.คมนาคมว่า คิดว่าดี ขณะนี้อยู่ในช่วงครึ่งหลังวาระของรัฐบาลและของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นการที่มีการพูดคุยกันได้ว่าคนนั้นคนนี้น่าจะเหมาะสมกับการไปทำงานตรงนั้นตรงนี้ ทำงานรับนโยบายกันได้ และการบังคับบัญชาเป็นไปด้วยมีความชัดเจน ไม่ต้องมีความระแวงกัน มันก็ดีทั้งนั้น คนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละคนมีภารกิจมากแสนสาหัส ซึ่งถ้าไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการที่ทำงานเป็นทีมเดียวกัน การทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับตนถือว่าโชคดีที่ได้รัฐมนตรีช่วยว่าการซึ่งสามารถรับงานจากตนได้ แม้มาจากคนละพรรคการเมือง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับทุกกระทรวง
เมื่อถามว่า การสลับกระทรวงครั้งนี้ไม่ได้มีเงื่อนไขอื่นมาเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มี ครั้งนี้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้นายวีรศักดิ์ไปเป็น รมช.คมนาคม ซึ่งอยู่พรรคเดียวกัน ทำให้การมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่แทนก็ง่ายขึ้น หากเทียบกับสมัยที่นายถาวร เสนเนียม เป็น รมช.คมนาคม ซึ่งนายถาวรมีความอาวุโสมากกว่า ดังนั้นการที่นายศักดิ์สยามจะไปสั่งการให้ท่านไปทำงานที่นั่นที่ต่างๆ ก็อาจไม่ค่อยสะดวก เมื่อเราได้โอกาสหารือเรื่องนี้กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ซึ่งท่านก็ไม่มีปัญหา เราจึงไขว้กัน และการทำงานจากนี้ไปจะมีความเป็นเอกภาพเป็นปึกแผ่น และประชาชนได้ประโยชน์ทั้งนั้น
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะมีการประเมินผลการทำงานของรัฐมนตรีในสังกัดทุกๆ 3 เดือนด้วยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราประเมินทุกวัน เผลอไม่ได้ ถ้าใครเผลอโดนปรับ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยต้องขยัน หน่อมแน้มไม่ได้ รัฐมนตรีของเราขยันกันทุกคน ทำงานหนัก
นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล กล่าวถึงโฉมหน้าครม.ชุดใหม่ ว่าการปรับ ครม.ชุดใหม่ อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปบ้าง ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลและรัฐมนตรีใหม่จะต้องพิสูจน์ฝีมือในการทำงาน โดยเฉพาะในเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ถูกจับตามองว่าจะทำให้ระบบการศึกษาเป็นอย่างไร เกิดการปฏิรูป ทำให้เกิดความเท่าเทียมทางการศึกษาได้จริงหรือไม่ ขณะนี้รัฐบาลมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นหลายเรื่อง ทั้งการบริหารราชการ การปฏิรูปการศึกษา ปัญหาโควิด ปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญ ปัญหาการชุมนุมของกลุ่มผู้เห็นต่าง ที่หลายฝ่ายต่างจับตามอง ล้วนกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลทั้งสิ้นอยู่ที่ว่าจะบริหารจัดการให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างไร
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ผิดหวัง ครม. พล.อ.ประยุทธ์ 2/4 ชุดใหม่ เพราะไม่มีอะไรใหม่ในการเมืองเก่า โควตารัฐมนตรีเป็นไปตามมุ้งการเมืองในพรรค ตัวแทนกลุ่มใครก็ได้ไปเป็นรัฐมนตรีทั้งๆ ที่ยังไม่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ แค่นามสกุลดังเท่านั้น แต่ก็ดีตรงที่มีผู้หญิงเป็นรัฐมนตรีกับเขาบ้าง 20 ปีมานี้เราได้รัฐมนตรีตามโควตากลุ่มการเมืองแบบเก่า เป็นการเมืองแบบไร่หมุนเวียนอำนาจของกลุ่มการเมือง ระบอบประยุทธ์จึงไม่ต่างจากระบอบทักษิณเท่าไหร่
"แต่ระบอบประยุทธ์น่ากลัวกว่าก็ตรงที่สร้างระบอบอำนาจนิยมมาอย่างต่อเนื่องกว่า 7 ปี ใช้อำนาจควบคุมกองทัพ ตำรวจและระบบราชการ โดยเอานายทุนมาเป็นหุ้นส่วนในรัฐบาลอย่างโจ่งแจ้ง ไม่สนการผูกขาดทางการค้าหรือว่าการขายทรัพยากรส่วนรวมไปให้เอกชนหาประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รัฐมนตรีบางคนเคยบริหารธุรกิจที่หากินกับไฟฟ้า ประปา อากาศมาก่อน บางคนที่คอยเป็นกระเป๋าเงินให้จอมพลที่คุมพรรคก็ล้วนสะสมความมั่งคั่งแบบก้าวกระโดด กลายมาเป็นคนรวยอันดับต้นๆ ของประเทศได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ปี" นายเมธากล่าว
นายเมธากล่าวว่า อยากเตือนรัฐบาลและผู้รับใช้ว่า ไม่มีความลับในโลกสมัยใหม่ ใบเสร็จอาจถูกเก็บไว้ในอากาศ เทคโนโลยี ระบบคลาวด์และดาวเทียมล้วนเก็บข้อมูลไว้ได้หมดไม่ต่างจากบิ๊กดาต้าที่รัฐบาลกำลังทำ ตำรวจปราบม็อบก็ระวังจะมีคดีในอนาคตทั้งศาลไทยและศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่าพยายามรับใช้ระบอบอำนาจนิยมโดยหลงผิดเป็นชอบจนชีวิตขาดคุณงามความดี เพราะวันหนึ่งอาจโดนลอยแพ
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถึงความคืบหน้าในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.นี้ เป็นที่จับตาอย่างมากถึงการพิจารณาปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งมีความพยายามจากกลุ่ม 4 ช. นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ที่ต้องการเปลี่ยนตัวนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไปเป็นนายสันติ
โดยในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่นายอนุชาขึ้นเป็นเลขาฯ พรรค มีความพยายามลดบทบาทโดยแกนนำบางคนในพรรคอย่างชัดเจน จนเกิดปัญหาความไม่ลงรอยกัน อย่างกรณีล่าสุด เมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช เขต 3 นายอนุชาที่ถูกมอบหมายให้เป็น ผอ.การเลือกตั้ง แทบจะไม่มีบทบาทสำคัญให้รับผิดชอบ แต่เป็น ร.อ.ธรรมนัส ที่มีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้งซ่อม
ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร ที่นำโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนายอนุชา ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนตัวในตำแหน่งดังกล่าว แต่หากทางพรรค พปชร.มีการเปลี่ยนตัวเกิดขึ้นจริง และคนที่จะมาเป็นเลขาฯ พรรคแทนนายอนุชา คือคนในกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ทางกลุ่มสามมิตรโดยนายสมศักดิ์พร้อมที่จะเสนอตัวเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งนี้ด้วยตัวเอง เหมือนกับที่นายสมศักดิ์ตอบคำถามทีเล่นทีจริงถึงกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวนายอนุชาจากเลขาธิการพรรคว่า "เปลี่ยนแล้วให้ผมเป็นแทนใช่ไหม" ซึ่งคำตอบดังกล่าวของนายสมศักดิ์ถูกตั้งข้อสังเกตอย่างมากว่าต้องการส่งสัญญาณถึงผู้ใหญ่ของพรรคให้พิจารณาถ่วงดุลอำนาจภายในพรรคหรือไม่ เพราะหากมีการเปลี่ยนตัวนายอนุชาไปเป็นนายสันติ อาจเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง
ด้านนายอนุชา นาคาศัย กล่าวถึงกระแสข่าวการประชุม กก.บห.ในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารพรรคว่า ไม่ทราบ ยังไม่มีกำหนดการ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความต้องการให้เปลี่ยนแปลงเก้าอี้เลขาธิการพรรค นายอนุชากล่าวว่า ไม่มีๆ ทุกอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคดูแลดีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ระบุพร้อมนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค หากมีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคล นายอนุชา หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ไม่หรอก ท่านอยากอาสา” เมื่อถามย้ำว่าเก้าอี้เลขาฯ ยังแข็งแรงใช่หรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า อยู่ที่ภาพรวม ไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์อะไรได้โดยลำพัง ทุกอย่างอยู่ที่กระบวนการของพรรค พปชร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ล่าสุดเหลือขั้นตอนนำเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหญ่ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีชื่อ น.ส.พนัชกร ตุลานนท์ เป็นผู้ยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.63 และมีชื่อว่าที่ ร.ท.ไกรภพ นครชัยกุล เป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่โลโก้พรรครวมไทยสร้างชาติ ใช้เครื่องหมายหกเหลี่ยมสีน้ำเงิน มีแถบ 3 เส้นสีทอง ขาว บนเครื่องหมายหกเหลี่ยม และมีตัวอักษรภาษาไทย "พรรครวมไทยสร้างชาติ" อยู่ใต้เครื่องหมาย
สำหรับความหมายสัญลักษณ์นี้หมายถึงการหลอมรวมประชาชนชาวไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าให้มั่นคง ยั่งยืน สร้างความสามัคคีของคนไทยทุกคนและทุกภาคส่วนของสังคมไทย ในการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้เจริญุร่งเรืองและมั่นคง โดยยึดถึอหลักความมั่นคงและศรัทธาสูงสุด ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระกษัตริย์ โดยสีน้ำเงินหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ คือหลักชัยของประเทศที่ประชาชาติไทยเทิดทูนไว้ในฐานะพระประมุขศูนย์ร่วมแห่งจิตใจของชาติไทย สีทองหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง สีขาวหมายถึงศาสนา ประชาชนชาวไทยยึดมั่นศรัทธา ขณะที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 169/98 อาคารเสริมทรัพย์ ถนนรัชดาภิเษก ดินแดน กทม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |