ในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ออกมายอมรับกลายๆ แล้วว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังต้องลุ้นอีกหลายเฮือก และไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และรับลดประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 2564 เหลือ 3% จากเดิมที่ 3.2% และในปี 2565 ปรับประมาณการเหลือ 4.7% จากเดิมที่ 4.8%
ประเด็นที่ทาง กนง.ให้ความสำคัญก็คือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประเมินในช่วงต้นปีราวๆ 5.5 ล้านคน อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 จะยังลากยาวออกไปกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม เนื่องจากยังมีหลายประเทศมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และที่สำคัญมากกว่านั้น มันเกิดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งนี้คือเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้น
“การบอกว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3% เป็นการฟื้นตัวแล้วคงไม่ใช่ การฟื้นตัวยังไม่เข้มแข็ง ยังจำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนทั้งจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งประเทศอื่นๆ ฟื้นตัวได้ดีกว่าไทย ไทยยังช้า เพราะผลจากภาคบริการและภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2 ปีครึ่ง หรือกลับมาฟื้นตัวได้เหมือนก่อนช่วงเกิดโควิด-19 ช่วงกลางปี 2565” นายทิตนันทิ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าว
ในส่วนเรื่องของการท่องเที่ยว ตอนนี้คงต้องไปฝากผีฝากไข้ไว้กับช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทยพอดี ล่าสุดทางรัฐบาลเองก็ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดประเทศเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งก็ล่าช้าจากความคาดหวังของเอกชนที่อยากจะให้เปิดประเทศตั้งแต่เดือน ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มไตรมาสที่ 3 พอดี แต่ดูแววแล้วที่เอกชนคาดหวังไม่น่าจะเป็นไปได้มากนัก เพราะในส่วนของการฉีดวัคซีนของไทยก็ยังทำได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ ค่อนข้างมาก
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขล่าสุด ยอดฉีดวัคซีนมีเพียงแสนโดสเท่านั้น และมีผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข้มแล้วเพียง 5,862 รายเท่านั้น ซึ่งมีข่าววงในระบุว่า คนไทยหลายคนยังไม่ค่อยกล้าฉีดวัคซีนของซิโนแวค เพราะมีโรงพยาบาลบางแห่งได้รับจัดสรรไป แต่จำนวนผู้ขอรับการฉีดกลับมีน้อยกว่าจำนวนที่ได้รับการจัดสรรไป เพราะบางคนยังไม่มั่นใจในประสิทธิภาพซิโนแวค และอยากจะรอรับวัคซีนแอสตราเซเนกามากกว่า ส่งผลให้แผนการกระจายวัคซีนและฉีดวัคซีนให้คนไทยล่าช้าออกไปอีก ซึ่งประเด็นนี้ก็จะเกี่ยวพันกับการเปิดรับการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศอย่างมาก
ดังนั้น สิ่งที่จะประคองให้การท่องเที่ยวของไทยยังคงไปรอด ก็คงจะต้องพึ่งการกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก ในโครงการไทยเที่ยวไทยนั้นเอง ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรีก็ได้เคาะอนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ออกมาแล้ว กรอบวงเงินที่เหลืออยู่ 5,700 ล้านบาท โดยเพิ่มจำนวนสิทธิ์ห้องพัก 2 ล้านห้อง โดยได้ปรับเกณฑ์การใช้สิทธิ์ คือ E-Voucher จะปรับเหลือ 600 บาท/วัน เริ่มใช้ได้ พ.ค.2564 และสิ้นสุดโครงการในเดือน ส.ค.2564
และยังมีโครงการ “ทัวร์ เที่ยว ไทย” ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วยวงเงิน 5,000 ล้านบาท จำนวน 1 ล้านสิทธิ์ รัฐบาลสนับสนุนเงินในลักษณะร่วมจ่าย (Co-Payment) 40% แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อราย รัฐบาลสนับสนุนเงินให้ประชาชน 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ แพ็กเกจที่เลือกไปท่องเที่ยวจะต้องเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดในวันธรรมดา คือ วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี แพ็กเกจที่เลือกจะต้องไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน โดยจะต้องไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ
คงต้องมาประเมินกันอีกครั้งว่า ทั้ง 2 โครงการนี้ จะสามารถปลุกการเดินทางท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักได้หรือไม่.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |