จะตายไปแล้วห้าร้อย สองร้อย หรือร้อยกว่าๆ...อย่างที่โฆษกเผด็จการพม่าออกมาให้ข่าว แก้ข่าว ไปเมื่อวันวานนี้ แต่ยังไงๆ คงต้องสรุปว่า หนักไปทาง ทหาร หรือ เจ้าหน้าที่ เข่นฆ่าประชาชนนั่นแหละเป็นหลัก ต่างไปจากบ้านเราที่ยังละมุนภัณฑ์แบบสุดๆ แต่ก็ยังน่าหนักใจ น่าวิตก อยู่พอสมควร สำหรับ ประชาชนต่อประชาชน ที่ทำท่าว่าชักอยากหันมาลงมือ ลงตีน กันมั่งแล้ว!!!
-------------------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องเร่งหาทางเหนี่ยว ทางรั้ง เอาไว้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่าย สามนิ้ว หรือสามอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือเบื้องหน้า เพียงแค่ใช้ สามัญสำนึก หรือใช้ สติ ขั้นพื้นฐาน ก็น่าจะพอหาข้อสรุปได้ไม่ยากว่า การที่ไปละลาบละล้วง จ้วงจาบ ลุกลาม ลามปาม ระดับดูหมิ่น เหยียดหยาม ไปจนถึงขั้นอาฆาต มาดร้าย เอาเลยก็ยังมี ต่อสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล เขายังคงเคารพ เทิดทูน ศรัทธา อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น ย่อมเป็นอะไรที่ไม่ โง่ ก็ บ้า แบบสุดๆ นั่นเอง ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าต่อตัวเองหรือผู้อื่น อย่างมาก...เพียงแค่ได้เอามันซ์ซ์ซ์ หรือได้ สะใจ แบบโง่ๆ หรือบ้าๆ นั่นเอง...
-------------------------------------------------------
ไม่ต่างอะไรไปจากพวกฝรั่งหัวทอง หัวแดง ประเภทที่ขาดสัมมาคารวะ ดึงเอาของสูง ดึงเอาสิ่งที่ผู้อื่นเขาเคารพรักและศรัทธา เทิดทูนและบูชา มาเล่นเป็นตัวการ์ตูน หรือเหยียดหยาม หมิ่นแคลนใดๆ ก็แล้วแต่ จนต้องกลายเป็นเรื่อง เป็นราว เกิดเรื่อง เกิดราว ถึงขั้นต้องไล่ยิง ไล่ฆ่า ต้องเสียเลือด เสียเนื้อ โดยใช่เหตุ ไม่ได้สอดคล้อง เหมาะสม กับสิ่งที่เรียกๆ กันว่า เสรีภาพ อันไม่ได้หมายรวมถึงการกระทำหรือความพยายามที่จะ ล่วงละเมิด ผู้อื่นได้โดยเด็ดขาด ไม่งั้น...ก็คงไม่ต้องมีกฎหมายหมิ่นประมาท การลงโทษ ลงอาญา ในแบบหนึ่ง แบบใด มารองรับเอาไว้ไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น...
---------------------------------------------------------
ยิ่งถ้าเป็น เสรีภาพ ตามแบบฉบับพวกหัวดำ หรือบรรดาชาวตะวันออกทั้งหลายด้วยแล้ว ยิ่งลุ่มลึก ลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า อาจไปไกลถึงขั้นเสรีภาพทางจิต ทางวิญญาณ โน่นเลย ไม่ใช่แค่เสรีภาพทางร่างกายที่เกาะกินตัวตน หรือ อัตตา ของผู้หนึ่ง ผู้ใด แต่เพียงเท่านั้น โดยไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพในแบบไหนต่อแบบไหน ก็อย่างที่ฝรั่งบางรายเขาเคยเอ่ยเป็นวาทะเอาไว้นั่นแหละว่า... “What is liberty without wisdom and without virtue? It is the greatest of all possible evils.” หรือ “เสรีภาพที่ปราศจากปัญญาและคุณธรรม ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากความชั่วที่ร้ายกาจที่สุด”...
------------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...ถ้าดัน โง่ และ บ้า ขึ้นมาซะอย่างแล้ว การละลาบละล้วง จ้วงจาบ ลุกลาม ลามปาม ต่อสิ่งที่ผู้คนเขายังคงเคารพและศรัทธา อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง มันจึงย่อมมีโอกาสนำมาซึ่งแรงต้าน แรงเสียดสี เสียดทาน ชนิดอาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทหาร กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะประเภทที่เพิ่งออกมาขอโทษ ขอโพย บรรดาผู้ประท้วง แบบชนิด “กระผมได้ลองชิมส้นตีนของคุณพี่แล้ว...หวานมากก์ก์ก์” อะไรทำนองนั้น แต่อาจเป็นแรงเสียดสี เสียดทาน ที่มาจากปุถุชนคนธรรมดา หรือจาก ประชาชนต่อประชาชน ด้วยกันเอง...นั่นแล
----------------------------------------------------
อันนี้นี่เอง...ที่น่าหนักใจ น่าห่วง น่าวิตกกังวลเอามากๆ เพราะถ้าหากเป็นเจ้าหน้าที่ เป็นทหาร เป็นตำรวจ ยังไงๆ คงต้องถูกล้อมกรอบ ถูกบังคับไว้ด้วยตัวบทกฎหมาย อย่างมิอาจปฏิเสธ ไล่มาตั้งแต่กฎหมายสูงสุด ไปจนถึงกฎหมายลูกที่ย่อยแยกแตกกระจายไปในแต่ละหมวด แต่ละมาตรา โอกาสที่จะลงมือ ลงตีน กันให้ถนัดถนี่ จึงออกจะลำบากอยู่พอสมควร เลยต้องหันไปขอโทษ ขอโพย อะไรประมาณนั้น แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดา...นี่สิ!!! ถ้าลอง ของขึ้น ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็แทบไม่คิดจะสนใจกฎหมง กฎหมายใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...
-----------------------------------------------------
โอกาสที่จะเกิดการไล่เหยียบ ไล่กระทืบ ไล่เข่นฆ่าซึ่งกันและกัน มันจึงมีความเป็นไปได้มิใช่น้อย ดังนั้น...ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่อยากเห็น โศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ แบบเมื่อครั้ง 6 ตุลา 19 หวนคืนกลับมาหลอกหลอนกันอีกครั้ง ก็น่าจะเลิกโง่และเลิกบ้าได้แล้ว เพราะคงมีแต่พวกซาดิสต์ หรือมาโซคิสต์เข้าเส้นเลือดเท่านั้นเอง ที่ยังอยากยุ อยากเชียร์ ให้โชว์โง่ โชว์บ้าต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าชักเฉียดๆ ใกล้ๆ 6 ตุลา เข้าไปทุกที...
-------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ที่อาจเริ่มเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ขึ้นมามั่งแล้ว ยังไงๆ น่าจะหันไปหาพระ หาเจ้า เอาไว้มั่ง โดยเฉพาะ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ปัจจุบัน ที่ท่านทรงอุตส่าห์เทศน์แล้ว เทศน์อีก ย้ำแล้ว ย้ำอีก ให้พึงระลึกนึกถึงสิ่งที่เรียกๆ กันในทางพระว่า ขันติธรรม นั่นเอง หรือความอดทน อดกลั้น ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือในแง่ลบ ต่ออารมณ์-ความรู้สึกของตัวเอง พยายามหายใจเข้า-หายใจออก นับหนึ่งถึงสิบ หรือถึงร้อยก็แล้วแต่ เพื่อไม่ให้สิ่งอันมิพึงปรารถนา สิ่งที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ ย้อนกลับมาสู่สังคมไทย แผ่นดินไทย เอาง่ายๆ เพราะมีแต่เพียง ขันติธรรม เท่านั้น ที่สามารถยกระดับและแปรสภาพ ให้กลายไปเป็น สามัคคีธรรม หรือความร่วมมือ-ร่วมใจของชาวไทยทั้งมวล อันเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ สำหรับโลกยุคนี้-สมัยนี้ ที่ทำท่าว่ากำลังใกล้เข้าสู่ สงครามโลก ยิ่งเข้าไปทุกที...
--------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก “Anon”... “Nothing so easy as revenge; nothing so grand as forgiveness. – ไม่มีอะไรที่จะง่ายไปกว่า...การแก้แค้น ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า...การให้อภัย”.
---------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |