แผนการพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับที่ 14 ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของสมัชชาประชาชนแห่งชาติจีนเมื่อต้นเดือนนี้ นอกจากมีประเด็นเรื่องจีดีพี "โตไม่น้อยกว่า 6%" และทุ่มงานวิจัยเพื่อนวัตกรรมอย่างเต็มพิกัดแล้วก็ยังมีนโยบาย
Green China หรือ "จีนเขียว" อีกด้วย
ซึ่งหมายถึงเรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด, เศรษฐกิจนิวเคลียร์, ไฮโดรเจน และรถยนต์ไฟฟ้า
ที่สำคัญคือ เป้าหมายไฟต์บังคับคือภายในปี 2060 จีนจะเป็น "ประเทศปลอดคาร์บอน" หรือ Zero Emission
จีนกล้าตั้งเป้าขนาดนั้นเลยหรือ
อาจารย์อาร์ม ตั้งนิรันดรบอกว่า "เขาไม่ได้ตั้งเป้าเฉยๆ แต่ได้ให้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวเขียนแผนปฏิบัติการอย่างละเอียดออกมาเลยว่า ปีไหนจะต้องทำอะไรอย่างไร และระบุว่าปีไหนสัดส่วนของพลังงานสะอาดจะต้องทดแทนของเก่าเท่าไหร่และอย่างไร..."
ทุกอย่างเพื่อการบรรลุเป้าที่ตั้งไว้ให้ได้
สะท้อนว่าจีนตระหนักแล้วว่า ปัจจัยที่จะตัดสินว่าจะโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ หรือจะชนะในสงครามเศรษฐกิจและสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่เทคโนโลยี 5.0 และพลังงานสะอาด
นโยบายที่ว่านี้จะเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์โลก
แต่ก่อนเชื่อกันว่าจะเข้าใจการเมืองโลกต้องเข้าใจเรื่องน้ำมัน แต่วันนี้กลายเป็นเรื่องต้องเข้าใจเทคโนโลยีจาก Petro-state เป็น Electro-state
ดร.ปิติ ศรีแสงนามตั้งข้อสังเกตในวงสนทนาว่า ถึงแม้จีนจะตั้งเป้าให้การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2060 แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้จีนก็ยังปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในระดับสูงมากอยู่ และจะขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในปี 2030
"เพราะฉะนั้นแม้เราจะเห็นจีนตั้งเป้าพลังงานบริสุทธิ์ในปี 2060 แต่ในอีก 9 ปีจากนี้ไปจีนก็ยังเป็นประเทศที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่สูงสุดของโลกอยู่..."
ผมแทรกว่านี่คือการ "ทิ้งทวน" ของจีน
หรืออาจเรียกได้ว่าไหนๆ จะเป็น "คนดี" ในแง่ลดมลพิษแล้ว ก่อนจะเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ก็ขอกรึ๊บและอัดชุดสุดท้ายให้หนำใจก่อน
นั่นแปลว่าอุตสาหกรรมที่ยังใช้ถ่านหินและพลังงานสกปรกของจีนนั้น ยังมีเวลาจะปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานใหม่อีกระยะหนึ่ง
แปลว่ารัฐบาลจะต้องยื่นมือมาช่วย ให้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เป็นไปได้โดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหน่วงเกินไปนัก
ผมตั้งข้อสังเกตว่าในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็มีนโยบายลดการขุดและใช้น้ำมันลง หันมาเน้นการสร้างพลังงานทางเลือกทั้งแดดและลมอย่างจริงจัง
เท่ากับว่าจีนกับอเมริกากำลังแข่งกันเป็นผู้นำด้านพลังงานบริสุทธิ์อย่างจริงจัง
ทั้งสองยักษ์จะทุ่มเททรัพยากรอย่างเต็มที่เพื่อแข่งขันในด้านนี้...ซึ่งต้องถือว่าเป็นการแข่งกันทำความดีความถูกต้องเพื่อลดมลพิษของโลกอย่างจริงจัง
นั่นแปลว่าไทยเราจะต้องตระหนักว่า เมื่อทิศทางเศรษฐกิจโลกไปทางนี้ เราก็ต้องรีบปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์แห่งชาติของเรา
ของไทยมี "แพลน" แต่เป็น "แพลนนิ่ง" คือวางแผนเสร็จแล้วก็นิ่ง...ไม่มีแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม
ของเขาคือ Planning ของจริงที่ตั้งเป้าไว้ชัดเจน และวางกลไกกับบุคลากรและงบประมาณที่สอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายนั้นอย่างจริงจัง
ทำไมทั้งจีนและสหรัฐฯ จึงเอาจริงกับเรื่องพลังงานบริสุทธิ์?
คำตอบง่ายๆ ชัดๆ คือ เพราะเขาเห็นแล้วว่านั่นคือความยั่งยืนที่แท้จริง
เพราะงานวิจัยทุกชิ้นในหัวข้อนี้ยืนยันตรงกันว่า คำว่าพัฒนาจะไม่สามารถไปต่อได้หากขาดความยั่งยืน
และความยั่งยืนหมายถึงการที่มนุษย์ปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติ และทุกกิจกรรมของมนุษย์จะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
คนรุ่นใหม่ทั้งโลกกำลังตื่นตัวกับ "สิ่งแวดล้อม" และ "ธรรมาภิบาล" กับ "เสรีภาพ" และ "จิตอาสา"
เป็นแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนกว่าทศวรรษที่ผ่านมา จนกระทั่งไม่มีรัฐบาลไหนในโลกที่รับผิดชอบจะมองข้ามความสำคัญและวางนโยบายให้ตรงกับความเปลี่ยนแปลงในทิศทางของสังคมโลกได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |