'ไตรรงค์'เผยแพร่บทความ'ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์'


เพิ่มเพื่อน    

23 มี.ค.64-ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความเรื่อง ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดดังนี้

ทำไมประชาชนของประเทศอื่นๆ ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เขาจึงช่วยกันให้เกียรติและไม่หยาบคายต่อสถาบันสูงสุดของพวกเขาอย่างที่คนไทยกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังสำหรับบางประเทศที่ผมไปสัมผัสมาด้วยตนเอง ดังนี้

1) ประเทศญี่ปุ่น  ประมาณ พ.ศ. 500 ได้มีบันทึกของราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นว่า มีแผ่นดินที่เป็นเกาะอยู่ทางทิศตะวันออกของจีนมีประชาชนมากกว่า 100 เผ่าได้อาศัยอยู่ แต่ละเผ่ามีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ปกครองและต่างก็ส่งบรรณาการให้กับจีน

ต่อมาประมาณ พ.ศ. 750 ก็มีบันทึกของราชสำนักจีนอีกว่า ชนเผ่าต่างๆ เหล่านั้นได้รวมตัวกันเป็นรัฐ มีทั้งหมด 30 รัฐ ทั้ง 30 รัฐ ได้เลือกผู้หญิงขึ้นเป็นกษัตริย์ ทางจีนจึงได้ประกาศแต่งตั้งเธอให้เป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินของประชาชนทั้ง 30 รัฐ โดยให้ถือเป็นประเทศราชขึ้นกับจีนที่จีนจักให้ความคุ้มครอง

ต่อมาประมาณ พ.ศ. 850 ได้มีตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งชื่อ “ตระกูลยาโมโต้” ได้อ้างเทพนิยายปรัมปราที่เคยกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า “สุริยะเทวี (พระอาทิตย์)” เป็นผู้สร้างเกาะต่างๆ รวมทั้งได้สร้างคนญี่ปุ่นให้อาศัยเกาะเหล่านั้น และเมื่อหลายพันปีมาแล้ว “พระสุริยะเทวี” ก็ได้ส่งมนุษย์คนหนึ่งมาเป็นจักรพรรดิปกครอง ทรงชื่อว่า “จักรพรรดิจิมมู (JIMMU)” พวกเขาอ้างว่า “ตระกูลยาโมโต้” สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระจักรพรรดิจิมมู จึงอ้างอำนาจสวรรค์สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่น 

ต่อมาประมาณ พ.ศ. 1188 มีเจ้าชายองค์หนึ่งในตระกูล “ยาโมโต้” ชื่อ “เทนจิ” ได้ก่อกบฏตั้งตนเป็นพระจักรพรรดิ โดยได้ตั้งบุคคลในตระกูล “ฟูจิวาระ” ขึ้นเป็นขุนพลเอกเป็นมือขวาในการปกครองประเทศ ตั้งแต่นั้นมาคนในตระกูล “ยามาโมโต้” ได้พยายามแต่งงานเฉพาะกับคนในตระกูล “ฟูจิวาระ” ลูกหลานที่ออกมาก็จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของจักรพรรดิ์ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน รวมเวลาประมาณ 1,400 ปี เริ่มต้นใช้เมือง “นาระ” เป็นเมืองหลวง ต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่ “เมืองเกียวโต” และครั้งสุดท้ายได้ย้ายมาอยู่ที่ “กรุงโตเกียว” ในปัจจุบัน

2) เมื่อถึงยุค “เกียวโต” เป็นเมืองหลวงได้เกิดกบฏขึ้นทางเหนือของเกาะฮอนชู จักรพรรดิ์ชื่อ “คัมมุ” ได้ส่งขุนพลในตระกูลฟูจิวาระไปปราบกบฏ โดยให้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่คุมทหารที่มีฝีมือทั้งหมด ทั้งทหารม้า ทหารราบ และทหารเหล่านักแม่นธนูไปปราบกบฏ ซึ่งตำแหน่งแม่ทัพที่ใหญ่ที่สุดเช่นนั้น เรียกกันว่า “ตำแหน่งโชกุน” คนในตระกูลฟูจิวาระดังกล่าวเมื่อมีกองทัพมหึมาอยู่กับตนก็เริ่มแข็งข้อต่อองค์จักรพรรดิโดยส่งลูกหลานลิ่วล้อเข้ายึดกุมตำแหน่งสำคัญๆทั้งหมดที่มีอำนาจบริหารประเทศ   ตัว “โชกุน”เองจึงทำหน้าที่เป็นเสมือนนายกรัฐมนตรี ผูกขาดอำนาจการปกครองติดต่อกันทางสายเลือดจนถึงประมาณ 500 ปี (แม้ยังคงตำแหน่งพระจักรพรรดิไว้ แต่ก็เป็นเสมือนศาลพระภูมิเท่านั้น)

ประมาณ พ.ศ. 1700 ญาติของพระจักรพรรดิอีก 2 ตระกูล คือ ตระกูล “ไทระ” และตระกูล “มินาโมโตะ” ได้ร่วมกันล้มตระกูล “ฟูจิวาระ” ได้สำเร็จ  เมื่อชนะแล้วตระกูล “มินาโมโตะ” ก็หักหลังตระกูล “ไทระ” ตั้งตนเป็นโชกุนเพียงผู้เดียว ผูกขาดอำนาจการปกครองญี่ปุ่นติดต่อกันมาทางสายเลือดอีกประมาณ 600 ปี โดยย้ายศูนย์การปกครองของรัฐบาลไปอยู่ที่เมือง “คามากุระ” แต่ให้พระจักรพรรดิทรงอยู่ที่เดิมที่เมืองเกียวโต

หลักจากนั้น ญี่ปุ่นก็ไม่เคยสงบ มีสงครามกลางเมือง แย่งชิงตำแหน่ง “โชกุน” กันถึงประมาณ 200 ปี จนมีโชกุนคนสุดท้ายชื่อ อิเอยาสุ (เป็นคนในตระกูลญาติจักรพรรดิคือตระกูล “โตกุกาว่า”) ผูกขาดอำนาจการปกครองและปิดประเทศไม่ยอมติดต่อกับโลกภายนอกเพื่อความปลอดภัยของประเทศ ปิดประเทศนานถึง 266 ปี

การปกครองในระบบโชกุนนั้นจะเก็บภาษีรีดนาทาเร้นกับชาวไร่ชาวนาผู้ไม่มีทางต่อสู้ เพราะโชกุนจะใช้มือดาบรับจ้างที่เรียกว่า “ซามูไร” คอยควบคุมให้ทุกคนจ่ายภาษีให้ตรงตามจำนวนและเวลาที่ระบุแก่โชกุน เมื่อชาวไร่ชาวนาทนไม่ไหวจึงได้ให้การสนับสนุน “นักปฏิวัติซึ่งเป็นซามูไรหัวก้าวหน้า” ที่มีความรู้สึกว่า ถ้าญี่ปุ่นยังปิดประเทศอยู่เช่นนั้นจะทำให้ล้าหลังทั้งด้านการศึกษาศิลปวิทยาและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทางประเทศตะวันตกได้ก้าวหน้าไปมาก ควรจะส่งคนไปศึกษานำมาพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเกษตร อุตสาหกรรม และอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อป้องกันเอกราชของประเทศมิให้ตกอยู่ในสภาพเหมือนประเทศจีนที่ถูกนักล่าอาณานิคมชาติตะวันตกรุมกันกินโต๊ะในเวลานั้น 

ซามูไรกลุ่มนี้มีหัวหน้าคณะปฏิวัติชื่อ “ไซโก” จากแคว้นซัทซึมะที่เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุดทางทิศใต้ โดยมีเสนาธิการจากเขตุโทสะ (คือจังหวัดโคจิในปัจจุบัน) ชื่อเรียวมะ และซามูไรชินชากุจากเขตุโทสะเป็นผู้เคยเดินทางไปเห็นกับตาถึงความหายนะของจีนที่ถูกตะวันตกรุมกันกินโต๊ะด้วยอาวุธที่ทันสมัยน่าเกรงขามได้เข้าร่วมปฏิวัติเพื่อผลักดันให้มีการเปิดประเทศ โดยมีพวกซามูไรลูกหลานชาวไร่ชาวนาหลายหมื่นคนอาสาเข้ารบ  เมื่อทำการปฏิวัติสำเร็จสามารถล้มโชกุนในตระกูลโตกุกาว่าได้แล้วก็ได้มอบถวายอำนาจการปกครองประเทศให้แก่พระจักรพรรดิ “เมจิ” ใน พ.ศ. 2412 (ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย) พระจักรพรรดิ ได้ตั้งคณะปฏิวัติหลายคนขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีและมีนโยบายส่งหนุ่มสาวไปศึกษาในประเทศตะวันตก ทรงเปิดประเทศค้าขายกับตะวันตก จนทำให้ประเทศญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง และมั่นคง (เพราะสามารถนำวิธีการผลิตอาวุธของตะวันตกมาดัดแปลงให้มีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศเจ้าของเทคโนโลยีเสียด้วยซ้ำไป)

จนมาถึงยุคจักรพรรดิฮิโรฮิโต ก็ได้ทรงส่งกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดประเทศต่างๆ ในเอเชียเพื่อเป็นทั้งแหล่งวัตถุดิบและเป็นตลาดในการระบายสินค้าอุตสาหกรรมอันเป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้คนญี่ปุ่นตายไปไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน

3) หลังจากกองทัพสหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) และที่นางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ทำให้พระจักรพรรดิประกาศยอมแพ้แก่กองทัพพันธมิตรที่นำโดย นายพลแมคอาเธอร์ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 (หลังจากเยอรมันยอมแพ้ 4 เดือน)

เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว นายพลแมคอาเธอร์ก็ได้ให้นโยบายแก่รัฐสภาญี่ปุ่นในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกตำราเรียนที่สอนให้คนหลงชาติ จัดการนำนักโทษที่เป็นอาชญากรสงครามขึ้นศาลพิจารณาโทษ รัฐสภาญี่ปุ่นยอมทำตามทั้งหมดขอไว้อย่างเดียวคืออย่านำองค์จักรพรรดิไปดำเนินคดีและขอให้บัญญัติให้มีสถาบันจักรพรรดิไว้ในรัฐธรรมนูญเหมือนเดิม  ทางฝ่ายสหรัฐฯยินยอมตามที่ร้องขอเพียงแต่ต้องให้เป็นสถาบันกษัตริย์ที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการบริหารใดๆ นอกจากเป็นประมุขของประเทศที่มีหน้าที่ตามจารีตประเพณีแต่ให้ยกเลิกพิธีทั้งทางศาสนาและทางอื่นๆ ที่มอมเมาให้คนเชื่อว่าพระองค์เป็นเทพที่สวรรค์ส่งมาปกครองญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด และในการประชุมเพื่อทำสินธิสัญญาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตร 48 ประเทศกับประเทศญี่ปุ่นที่ซานฟรานซิสโก (San Francisco) ใน ค.ศ. 1951 - 1952 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่นายพลแมคอาเธอร์เสนอให้คงดำรงสถาบันจักรพรรดิไว้ในรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นเหมือนเดิม

4) เราจะเห็นความสุขุมรอบคอบของ นายพลแมคอาเธอร์ ในเรื่องนี้ 2 ประเด็น คือ

4.1) ถ้ายกเลิกสถาบันจักรพรรดิ ญี่ปุ่นก็จะไม่มีจุดเชื่อมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะประเทศประกอบขึ้นด้วยชุมชนต่างๆ ถึง 100 เผ่า ตามบันทึกของราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นดังกล่าวข้างต้น อาจจะเกิดสงครามกลางเมืองเพราะความไม่ยอมรับผู้นำคนใหม่ที่ต้องเป็นคนของพรรคการเมืองใด

พรรคการเมืองหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นที่สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นอาจยอมรับไม่ได้เพราะไม่ไว้ใจความเป็นกลาง (เนื่องจากประชาธิปไตยยังเป็นเรื่องใหม่ที่พวกเขาไม่เคยชิน)

4.2) ถ้านำพระจักรพรรดิไปสำเร็จโทษในข้อหาอาชญากรสงครามเท่ากับการทำลายศูนย์รวมจิตใจที่ชาวญี่ปุ่นผูกพันกับสถาบันนี้มามากกว่า 1,400 ปี การทำร้ายผู้มีพระคุณต่อพวกเขาเช่นนั้น ชาวญี่ปุ่นจะไม่มีอันให้อภัย การทำร้ายบิดามารดาของใคร ใครก็โกรธ โครก็อาฆาต นักเลง มักจะพูดว่า 10 - 20 ปีก็ยังไม่สาย แต่การทำร้ายถึงชีวิตแก่ผู้มีพระคุณระดับกษัตริย์นั้น 100 ปี 1,000 ปี ก็ยังไม่สาย ดูตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ การที่ชาวคริสเตียนทั่วโลกยังโกรธ เกลียด และอาฆาตชาวยิวก็เพราะมีหลักฐานยืนยันว่า พวกยิวโดยการนำของสังฆราชศาสนายิวเป็นคนกดดันให้อาณาจักรโรมันจับและฆ่าพระเยซู การที่ยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเยอรมัน (ฮิตเลอร์) ถึง 6 ล้านกว่าคนนั้นย่อมมีคริสเตียนทั่วโลกจำนวนมากแอบยินดีอยู่ด้วยก็ได้ (ใครจะไปรู้)

5) ในสายตาของคนต่างชาติที่เคยเห็นภาพสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต (HIROHITO) ทรงขี่ม้าขาวออกตรวจความพร้อมของกองทัพญี่ปุ่นก่อนส่งไปรุกรานประเทศอื่นๆ จนเป็นเหตุทำให้คนญี่ปุ่นมากกว่า 3 ล้านคนได้ตายไปในสงครามโลกครั้งที่สอง อาจจะคิดไปได้ว่าคนญี่ปุ่นน่าจะโกรธหรือไม่พอใจสมเด็จพระจักรพรรดิที่ถือได้ว่าเป็นตัวการในเรื่องนี้

แต่เปล่าเลย ผมได้ประสบพบเห็นด้วยตนเองว่า คนญี่ปุ่นมิได้คิดเช่นนั้น ประชาชนชาวญี่ปุ่นยังคงรัก เทิดทูล และศรัทธาในองค์พระประมุขของตนไม่เสื่อมคลายเหมือนเดิม เมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดิในปี พ.ศ. 2520 ผมได้มีโอกาสไปนั่งร่วมสังเกตการณ์ (เพราะเป็นช่วงที่ผมลี้ภัยทางการเมืองในข้อหาคอมมิวนิสต์จากคณะปฏิวัติ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกียวโตตามคำเชิญ)
ที่สวนฮิมิย่า (HIBIYA PARK) ข้างพระราชวังที่ประทับขององค์จักรพรรดิจะเห็นได้ว่า ประชาชนชาวญี่ปุ่นทั่วราชอาณาจักรต่างหลั่งไหลกันมาเพื่อถวายพระพรด้วยอาการกระตือรือร้น มิได้แตกต่างอะไรกับการแสดงออกของปวงชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยแต่ประการใด

#ข้อสังเกตุและข้อเสนอแนะ 

องค์กรใด รัฐบาลใด ของประเทศใด เจ้าหน้าที่ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ในสถานเอกอัครราชทูตของประเทศใดๆ ก็ตาม  ให้กรุณาดูความสุขุมรอบคอบและความจริงใจของท่านนายพลแมคอาเธอร์ (Mc Arthur) แห่งสหรัฐอเมริกาเอาไว้เป็นตัวอย่าง การแอบให้การสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการให้เงินทองในทางลับหรือการแสดงตนเข้าข้างด้วยการสนับสนุนอย่างเปิดเผยหรือแบบกระมิดกระเมี้ยนให้แก่กลุ่มมวลชนใดก็ตาม ในการไปทำร้ายอย่างหยาบคายและคุกคามความมั่นคงของสถาบันสูงสุดของประเทศไทยด้วยพวกท่านมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศของพวกท่าน (ไม่ต้องมาอ้างสิทธิมนุษยชนบ้าๆ บอๆ หรอก คนไทยไม่ได้โง่พอจะไปหลงเชื่อพวกท่าน ไม่เฉพาะแต่คนไทย ผมว่าแม้แต่โคตรพ่อโคตรแม่ของพวกท่านก็คงจะไม่โง่พอจะเชื่อพวกท่านในเรื่องที่อ้างนั้นเช่นเดียวกัน)

ขอเตือนเพียงว่า สิ่งที่พวกท่านทำนั้นมันจะไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และจะไม่เป็นผลดีต่อนโยบายต่างประเทศของพวกท่านในอนาคตอย่างแน่นอน

#อย่าลืม ว่า 100 ปี หรือ 1,000 ปี ก็ #ไม่เคยสาย

เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็มีหัวใจ ยึดถือสถาบันกษัตริย์เป็นรากแก้วของประเทศ เหมือนคนญี่ปุ่น เช่นเดียวกัน

ผมขอเรียนว่าบทความที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชปแต่อย่างใด.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"