ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2561 นี้เชื่อว่าน่าจะดีกว่าในปี 2560 ที่ผ่านมา และจะมีการเติบโตมากกว่าจีดีพี(GDP) ซึ่งในปีนี้คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวได้ที่ประมาณ 4% และคาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตได้มากกว่า 5-10% จากปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการเติบโตที่ 5% โดยมีปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ การลงทุนในส่วนต่อขยายตามแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ จึงเป็นปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง
    โดยในปีนี้นับเป็นปีที่เริ่มต้นได้ค่อนข้างดีสำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เหล่าผู้ประกอบการได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการประเภทแนวราบกันเป็นส่วนใหญ่ โดยในแต่ละค่ายมองว่าการพัฒนาโครงการแนวราบนั้นมีอัตราการขายที่รวดเร็ว พร้อมทั้งเชื่อว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบเพิ่มมากยิ่งขึ้น 
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปีมีสัญญาณบวกในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการกันมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการประเภทแนวราบ เริ่มกันที่ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หลังจากไตรมาสแรกสถานการณ์ความต้องการที่อยู่อาศัยมีมากขึ้น เนื่องจากตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มาก สถานการณ์โดยรวมของตลาดโดยเฉพาะสินค้าแนวราบมีสัญญาณการตอบรับที่ดีมาก
    ดังนั้น เอพีจึงได้เดินหน้าปรับแผนธุรกิจด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจากแผนเดิม ส่งผลให้แผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2561 นี้จะเป็นปีที่เอพีมีจำนวนโครงการเปิดตัวใหม่มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมจำนวน 21 โครงการ มูลค่า 18,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 17 โครงการ มูลค่า 20,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท
    ทางด้าน บมจ.แสนสิริ เดินหน้าลุยตลาดทาวน์เฮาส์ สอดรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มซื้อโครงการทาวน์เฮาส์มากขึ้น ประกอบกับความต้องการของทาวน์เฮาส์ในตลาดนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีนี้แสนสิริจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮาส์ใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเปิดตัวทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “สิริ เพลส” ทั้งหมด 8 โครงการทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ในทำเลศักยภาพใกล้ศูนย์กลางของชีวิตคนเมือง ใกล้เส้นทางคมนาคมที่สะดวก
    ส่วน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายตลาดโครงการแนวราบเป็นหลัก และมีแผนจะร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากฮ่องกง เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ล่าสุดบริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับฮ่องกง แลนด์ โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด โดยพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ถือหุ้น 51% และอีก 49% ถือหุ้นโดยฮ่องกง แลนด์
    อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 ปี คาดว่าบริษัทและฮ่องกง แลนด์ จะมีการพัฒนาโครงการร่วมกันประมาณ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ 2 โครงการ ในทำเลแจ้งวัฒนะ และทำเลโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และยังมีแผนร่วมทุนพัฒนาโครงการในระยะยาว สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการช่วยผลักดันให้รายได้ในส่วนของกลุ่มบ้านเดี่ยวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
    ด้าน บมจ.เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ ในปีนี้มีแนวทางในการพัฒนาสินค้า โดยจะทำการปรับโฉมโปรดักต์ใหม่ จับกลุ่มเซ็กเมนต์ระดับพรีเมียม โดยเน้นโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,116 ล้านบาท ในสัดส่วน 43% ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด มูลค่า 316 ล้านบาท และโครงการเจ วิลล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง โครงการบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท
    ปิดท้ายกันที่ผู้ประกอบการขนาดกลางอย่าง บจก.เอสเตท กูรู ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 880 ล้านบาท ได้แก่ โครงการวิสทาวน์ เพชรเกษม 91 โครงการวิสทาวน์ พัทยา-เขาตาโล มูลค่า 600 ล้านบาท และโครงการวิสทาวน์ แม่น้ำคู้-ปลวกแดง ระยอง บนพื้นที่ 12 ไร่ 131 ยูนิต มูลค่า 160 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะมีแผนจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
    เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ผู้ประกอบการต่างเชื่อมั่นว่าตลาดมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ถึงได้มีการพัฒนาโครงการกันเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงติดตามสถานการณ์กันต่อไปว่าในปี 2561 นี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตได้อย่างที่หลายๆ ฝ่ายคิดกันไว้หรือไม่.  
 

ศรยุทธ เทียนสี