เรื่อง ๘ แกนนำพรรคเพื่อไทย มีหลายมิติให้มอง
    มีประเด็นที่ต้องเตือน คสช.นั่นคือ ระวังผลลัพธ์ในมุมกลับ 
    คืออะไร?
    การแจ้งความร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
    และความผิด ป.อาญา มาตรา ๑๑๖ ยุยงปลุกปั่น
    ทั้ง ๒ ข้อหาผิดถูกคงว่ากันในศาล 
    แต่ผลของคดีอาจนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของ คสช.ได้ หากศาลเห็นว่า ๘ แกนนำพรรคเพื่อไทยไม่ได้กระทำตามฐานความผิดดังกล่าว
    แม้การต่อสู้กันทางศาล จะดีกว่าการไปดักตีหัวกัน แต่การใช้สิทธิทางศาลก็เป็นสิ่งพึงระวัง ไม่พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจรัฐในมือ ต้องรอบคอบเป็นพิเศษ
    ด้วยบรรยากาศที่เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง สิ่งที่ คสช.ควรทำมากกว่าคือ เรียนรู้ที่จะอยู่กับการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
    แม้ผู้คนจำนวนมากไม่ชอบพรรคเพื่อไทยที่เอาแต่ด่า คสช.ว่าโกง ขณะที่ตัวเองเป็นรัฐบาลก็ถูกข้อครหาคอร์รัปชันเป็นโขยง
    อย่างล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่ำรวยผิดปกติ ๔๒,๘๑๖,๒๒๖ บาท
    พร้อมรายงานผลไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 
    เป็นอีกบทพิสูจน์ว่าระบอบทักษิณโกงกันเป็นขบวนการ 
    แต่การเมืองเมื่อถึงเวลาต้องแข่งขันเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ก็ควรเสมอภาคกัน
    ถามว่า คสช.แจ้งความดำเนินคดี ๘ แกนนำเพื่อไทยแล้วได้อะไร
    พูดกันตรงๆ แทบไม่ได้อะไร หนำซ้ำเสียงสะท้อนกลับอาจเป็นผลลบมากกว่า
    ระวังจะกลายเป็นการหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยทางอ้อม  
    กลายไปเป็นสร้างภาพให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่คนในพรรครับใช้นักโทษหนีคุกคดีโกงเป็นหลัก 
    และนักโทษหนีคุกอย่างทักษิณ ก็เคยได้ประโยชน์จากคณะรัฐประหารปี ๒๕๓๔ ไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยตามที่ชอบกล่าวอ้างกัน
    คสช.จึงควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับงานหลักๆ เช่น กอบกู้ปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นในเร็ววัน
    ดีกว่ามานั่งหยุมหยิมฟ้องร้องคนที่ด่าตัวเอง ให้อีกฝ่ายเอาไปปั่นเป็นเงื่อนไขโยงไปถึงการไม่ยอมรับการเลือกตั้ง 
    มันจะไม่จบ.