20 มี.ค. 64 - นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำไปในวาระที่ 3 โดยมีรายละเอียดดังนี้
โหวตวาระ 3 ร่างแก้ไข รธน.ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย ระวังคนขู่ฟ้องจะถูกฟ้องเสียเอง
กรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และนายณฐพร โตประยูร เตรียมยื่นคำร้องกล่าวหา สส. และสว. ที่ร่วมลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการเอาผิดกับ สส.และสว. ทั้ง 208 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235
จนหลายคนสับสนว่า ทำไม่เอะอะไรก็ฟ้องศาล แม้กระทั่งการใช้สิทธิของสส.สว.ในการโหวตว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับญัตติในสภาซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าฝ่าฝืนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยว่า “รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชน ลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
ซึ่งเมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ผมยังไม่เห็นว่ามีข้อความใดห้ามไม่ให้ลงมติในวาระที่สาม แม้จะมีคำวินิจฉัยว่าการแก้ไขให้มีมาตรา 15/1 มีผลให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เป็นเพียงชี้ขั้นตอนว่า เมื่อจะจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องถามประชาชนก่อน โดยหากโหวตวาระ 3 ไปแล้วก็ต้องทำประชามติ ซึ่งตรงกับคำวินิจฉัยที่ต้องการให้ทำประชามติก่อนมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเรื่องนี้ยังมีความเห็นออกเป็น 2 แนวทาง บางส่วนก็ว่าโหวตไม่ได้ ความเห็นจึงยังไม่ยุติและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าห้ามโหวตวาระ 3 กระทั่งก่อนลงมติก็ยังมีการอภิปรายกันอยู่เลยว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าอย่างไรจะลงมติได้หรือไม่ ถึงขั้นสมาชิกบางท่านได้เสนอญัตติให้สภาส่งคำร้องกลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญการลงมติดังกล่าว ก็มิใช่เป็นการผ่านกฎหมายรัฐมนูญออกมาบังคับใช้เสียที่เดียว แต่เป็นมติเพื่อจะตั้งสสร.ไปดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกระบวนการก่อนการทำประชามติ ดังนั้นเมื่อมีการเสนอให้ลงมติวาระสามโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน และประธานในที่ประชุมได้ถามมติ ก็เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นดุลพินิจที่ทุกคนต้องเคารพ จึงไม่เห็นว่าจะผิดกฏหมายตรงไหน เพราะการที่จะเอาผิดกับสส.สว.ตามรัฐธรรมนูนมาตรา 235 นั้นต้องมีเจตนาโดยแจ้งชัดในเรื่องการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
"ผมจึงเห็นว่า กรณีนี้จะไปเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ในครั้งนี้กระบวนการตรารัฐธรรมนูญไม่มีขั้นตอนใดที่ผิดกฎหมาย ขณะที่ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่พยายามแก้ไขที่มาของส.ว นั้นมีปัญหาส.ส.เสียบบัตรแทนกัน อีกทั้งเนื้อหายังเข้าข่ายล้มการปกครอง ผิดรัฐธรรมนูญ ปี 50 มาตรา 68 วรรคหนึ่ง กรณีจึงชัดเจนว่าสส.ที่ ลงมติในครั้งนั้นมีความผิด ทำให้มีการไปร้องต่อ ป.ป.ช. ผมจึงเห็นว่าทั้ง ส.ส.และส.ว.ที่ลงมติ โหวตวาระ 3 ไม่ต้องบ้าจี้ไปกลัว นายศรีสุวรรณและนายณัฐพร ที่ขู่จะเอาผิด ตรงกันข้ามผมอยากให้ทั้งส.ส.และส.ว. ที่โหวตวาระ 3 รวมกัน ฟ้องกลับทั้ง 2 คน ข้อหาฐานรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแต่กลับแจ้งข้อความแก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด และข้อหาข่มขู่ คุกคาม ความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ของสมาชิกรัฐสภาที่เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ซึ่งต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติของใคร เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่าง"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |