ฝ่ายค้านโรยเกลือรอบ2 เชือด‘ศักดิ์สยาม-นิพนธ์’


เพิ่มเพื่อน    

  "จุรินทร์" เคาะตั้ง คกก.สอบวินัยร้ายแรง 3 หัวโจกโกงซื้อถุงมือยางแสนล้าน ก่อนส่งต่อ ป.ป.ช. ขณะที่ ผอ.อคส.ฟุ้งได้เงินคืนแน่ 2 พันล้าน พิษอภิปรายฝ่ายค้านแท็กทีมเชือด "ศักดิ์สยาม-นิพนธ์"

    เมื่อวันศุกร์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้รายงานผลสอบทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มี พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อคส. เป็นประธาน ที่ได้สืบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และมีมติให้ดำเนินการ 3 ข้อ ได้แก่ 1.ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย มีความผิดวินัยร้ายแรง และเห็นควรให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงทั้ง 3 ราย ซึ่งมีโทษคือให้ออกหรือไล่ออก 2.คณะกรรมการฯ พบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ อคส.
    นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า จากการดำเนินการของทั้ง 3 ราย ประกอบด้วยเงินมัดจำถุงมือยาง 2,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย และความเสียหายอื่นๆ จึงเห็นควรให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้ทั้ง 3 รายชดใช้ความเสียหายให้กับ อคส. และ 3.เห็นควรให้ส่งผลการสืบสวนข้อเท็จจริงครั้งนี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกอบการพิจารณาไต่สวนกรณีทุจริตจัดซื้อถุงมือยางต่อไป ส่วนเรื่องของประธานบอร์ด อคส.จะลาออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเขาว่าควรทำอย่างไร
     ด้านนายเกรียงศักดิ์กล่าวว่า วันจันทร์ที่ 22 มี.ค.2564 จะออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเจ้าหน้าที่ อคส.ทั้ง 3 ราย มีกรอบระยะเวลาพิจารณา 30 วัน และตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด โดยจะมีตัวแทนจากกระทรวงการคลังร่วมด้วย มีกรอบระยะเวลาพิจารณา 60 วัน โดยมั่นใจว่าจะติดตามเงินที่ อคส.จ่ายเป็นค่ามัดจำ 2,000 ล้านบาทกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน ส่วนผลสืบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีกว่า 900 หน้า จะจัดส่งให้ ป.ป.ช.เพื่อขยายผลต่อไป  
    ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เจ้าหน้าที่ 3 รายที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ได้แก่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. และเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร 8 อีก 2 ราย คือ นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และนายมูรธาธร คำบุศย์
    วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ, นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์, นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และนายนิพนธ์ บุญญามณี รมว.มหาดไทย กรณีมีพฤติการณ์และหลักฐาน ที่เชื่อว่ากระทำการทุจริต จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ เพื่อนำไปสู่การลงโทษตามกฎหมายต่อไป
    เนื่องจากนายศักดิ์สยามมีหนังสือสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงคมนาคม ให้ส่งร่างทีโออาร์ของการประมูลโครงการต่างๆ ให้ตรวจสอบก่อน และเมื่อประมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนลงนามในสัญญาจะต้องแจ้งให้กับรัฐมนตรีรับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งข้อสั่งการดังกล่าวทำให้เห็นถึงการแทรกแซงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
    โดยกระทำการนอกเหนือจากที่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนดไว้ ทำให้ทราบข้อมูลภายในเกี่ยวกับกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของงาน ก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้าง เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการที่เป็นพวกพ้องของตนและยังทำให้ข้าราชการในสังกัด ไม่กล้าที่จะกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของงานให้แตกต่างเป็นอย่างอื่น การกระทำของนายศักดิ์สยาม ถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 186 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
    นอกจากนี้ ยังยื่นขอให้เอาผิดกับนายศักดิ์สยาม กรณีที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่พบว่ามีเครือญาติของนายศักดิ์สยามเข้าครอบครองที่ดินจำนวนกว่า 5,000 ไร่ ทั้งที่เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามของรัฐ แต่รัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทยกลับไม่เพิกถอนโฉนด ตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ซึ่งถือเป็นการจงใจไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
     ส่วนกรณีนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เป็นกรณีเอื้อประโยชน์ให้เครือญาติกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเข้าข่ายการกระทำความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์และมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งนี้ การยื่นร้องเอาผิดต่อ ป.ป.ช.ในครั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนหน้านี้ และถือเป็นรัฐมนตรีจำนวน 4 รายแล้ว ที่ถูกยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. หลังจากก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้ยื่นเอาผิดนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"