เชียงใหม่ / สานพลังประชารัฐ ภาคเอกชน ราชการ หน่วยงานท้องถิ่น และเครือข่ายประชาชน ร่วมกันเดินหน้า “โครงการแม่แจ่มโมเดลพลัส” พลิกฟื้นดอยหัวโล้นที่เกิดจากการทำไร่ข้าวโพด สู่ “แม่แจ่มเมืองป่าไม้” โดยส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไผ่เป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแทนข้าวโพด มีโรงงานแปรรูปรองรับ ผลิตตั้งแต่ตะเกียบ ถ่านอัดแท่ง โดยเฉพาะถ่านกัมมันต์ ใช้ในอุตสากรรมต่างๆ ตลาดต้องการไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ล้านตัน ขณะที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ลงพื้นที่ร่วมปลูกไผ่และนำข้อเสนอ-ปัญหาของชาวแม่แจ่มไปเสนอรัฐบาลหาทางแก้ไข
อำเภอแม่แจ่ม ตั้งอยู่บนเทือกเขาธงชัย ด้านหลังดอยอินทนนท์ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 123 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,700,000 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่ม สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูง มีที่ราบตามเชิงเขา ประชากรมีทั้งคนเมือง ม้ง ลั๊วะ ปกาญอ ประมาณ 59,000 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพปลูกข้าวโพดขายเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งต้องใช้สารเคมี ทำให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำ การเผาเศษวัสดุพืชไร่ นำไปสู่ปัญหาหมอกควันพิษ เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ปัญหาหนี้สินจากการทำการเกษตร รวมทั้งปัญหาที่ดินทำกิน
จากปัญหาดังกล่าว ชาวแม่แจ่มจึงได้ร่วมกับทุกภาคส่วน ผู้นำชุมชน ท้องถิ่น อำเภอ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ภาคเอกชน ธุรกิจ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยงานรัฐ จัดทำโครงการ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” (Mae Chaem Model Plus) เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ด้วยการยั้บยังการบุกรุกป่า หยุดปัญหาไฟป่า หมอกควัน การปลูกพืชเชิงเดี่ยว ลดการใช้สารเคมี ฯลฯ ส่งเสริมการปลูกไผ่ กาแฟ เป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างพื้นที่สีเขียว สร้างเมืองแม่แจ่มให้เป็น “เมืองป่าไม้”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18-19 พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเชิงพื้นที่ (กขร.) ซึ่งมี นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เป็นประธาน ได้เดินทางมาที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อศึกษาและเรียนรู้โครงการแม่แจ่มโมเดลพลัส โดยคณะอนุ กขร.ได้เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เพื่อปรึกษาหารือการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้เกิดการบูรณาการการขับเคลื่อนงานตามโครงการแม่แจ่มโมเดลพลัส หลังจากนั้นคณะได้เดินทางไปที่บ้านแม่ยางส้าน ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม เพื่อร่วมกิจกรรมปลูกไผ่ ปลูกป่า สร้างรายได้ โดยมีชาวบ้านในพื้นที่และเยาวชนร่วมปลูกไผ่ประมาณ 200 คน ปลูกไผ่ประมาณ 200 ต้น
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ร่วมปลูกไผ่
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเชิงพื้นที่ (กขร.) กล่าวว่า โครงการแม่แจ่มโมเดลพลัสเป็นการสานพลังประชารัฐ เริ่มจากการที่ชุมชนร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตตั้งแต่ปี 2552 ขณะเดียวกันในอำเภอแม่แจ่มก็มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 ซึ่งสงวนเอาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำ มีเนื้อที่ป่าต้นน้ำทั้งหมดประมาณ 900,000 ไร่ แต่มีประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยทำมาหากิน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาล คสช.เข้ามาบริหารงานก็มีแนวทางชัดเจนที่จะให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้ โดยให้ประชาชนอยู่อาศัยและทำกิน ส่วนที่เกินให้คืนราชการและปลูกป่าเพิ่มเติม
“คนอยู่ได้ ป่าอยู่ดี เป็นนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลที่จะให้คนอยู่ร่วมกับป่า ซึ่งโครงการแม่แจ่มฯ จะส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไผ่ รวมทั้งพืชอื่นๆ เพื่อนำความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา ในอนาคตแม่แจ่มจะเป็นเมืองที่เขียวขจี และไม่ใช่เขียวด้วยข้าวโพด ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มีรายได้ เริ่มทำจากเล็กไปหาใหญ่ ตามศาสตร์ของพระราชา ทำจากชีวิตจริงที่เป็นรูปธรรมและขับเคลื่อนไปด้วยกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่” ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าว
นพ.อำพลกล่าวด้วยว่า ปัญหาต่างๆ ที่ชาวแม่แจ่มเสนอมา ทั้งปัญหาเรื่องที่ดินทำกินอยู่ในเขตป่าสงวนฯ ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำ ระบบสาธารณูปโภค ถนน ฯลฯ รวมทั้งเรื่องงบประมาณในการดำเนินโครงการแม่แจ่มโมเดลทั่วทั้ง 104 หมู่บ้าน ซึ่งชาวแม่แจ่มเสนอมานั้น คณะอนุกรรมการฯ จะนำกลับไปพิจารณาและนำไปเสนอต่อรัฐบาลเพื่อผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ข้อมูลจาก “โครงการแม่แจ่มโมเดลพลัส ปฏิบัติการเชิงพื้นที่กับการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” ระบุว่า อำเภอแม่แจ่มเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญสำคัญด้านทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำของประเทศ เป็นพื้นที่ต้นกำเนิดน้ำแม่แจ่มซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิง น้ำจากแม่แจ่มไหลลงสู่แม่น้ำปิงร้อยละ 40 และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาร้อยละ 17
ส่วนพื้นที่ในอำเภอแม่แจ่มมีทั้งหมดประมาณ 1,696,093 ไร่ เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนฯ แม่แจ่ม ขณะที่ชาวบ้านปลูกสร้างบ้านเรือนและอยู่อาศัยมาก่อนปี พ.ศ.2504 เมื่อมี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ พ.ศ.2507 จึงทำให้ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมกลายเป็นผู้บุกรุก ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย
ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา อัตราขยายตัวของพื้นที่ทำกินในป่าต้นน้ำแม่แจ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงปี พ.ศ.2552-2559 พื้นที่ในเขตป่าสงวนฯ แม่แจ่มกลายเป็นไร่ข้าวโพดเพื่อส่งโรงงานผลิตอาหารสัตว์อย่างรวดเร็ว จาก 86,104 ไร่ในปี 2552 ในปี 2554 เพิ่มเป็น 105,465 ไร่ และปี 2559 เพิ่มเป็น 123,229 ไร่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา คือ เกิดปัญหาภัยแล้ง ดินถล่ม เกิดไฟไหม้ การเผาไร่ซากข้าวโพดที่มีปริมาณประมาณปีละ 95,000 ตัน ทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน ปัญหาระบบทางเดินหายใจ เฉพาะในอำเภอแม่แจ่มมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสูดดมหมอกควันประมาณปีละ 5,000 ราย
แต่ที่สำคัญคือปัญหาหนี้สินจากการทำไร่ข้าวโพด ซึ่งจากตัวเลขในปี 2560 เกษตรกรในอำเภอแม่แจ่มเป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมกันประมาณ 1,400 ล้านบาท และหนี้กองทุนหมู่บ้านประมาณ 300 ล้านบาท (ไม่รวมหนี้อื่นๆ และหนี้นอกระบบ)
“ดังนั้นการก้าวให้พ้นจากวงจรปัญหาหนี้สิน การสร้างระบบการเกษตรที่จะตอบโจทย์เรื่องอาชีพ รายได้ แก้ปัญหาระบบนิเวศน์ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ จึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการต่างๆ มาสนับสนุน เช่น การพักชำระหนี้เกษตรกร การเชื่อมโยงระบบการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ (การแปรรูป) และปลายน้ำ (การตลาด) เพื่อให้เกษตรกรอำเภอแม่แจ่มหลุดพ้นออกจากเขาวงกตสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้ตลอดไป” ข้อมูลจากโครงการแม่แจ่มฯ ระบุถึงแนวทางแก้ปัญหา
นายพิพัฒน์ ธนรวิทยา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านห้วยยางส้าน ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เล่าว่า ชาวกะเหรี่ยงในอำเภอแม่แจ่มอยู่อาศัยในพื้นที่มานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ ปัจจุบันส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพดเป็นหลัก ปลูกหอมแดง กระเทียม ฟักทอง และปลูกข้าวไร่เอาไว้กิน ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากราคาข้าวโพดตกต่ำ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศไม่ให้พ่อค้ารับซื้อข้าวโพดที่ปลูกในพื้นที่สูงหรือป่าสงวนฯ ราคาข้าวโพดลดเหลือกิโลกรัมละ 3 บาท
ส่วนต้นทุนการปลูก 1 กก.ไม่ต่ำกว่า 5 บาท เฉพาะปุ๋ยเคมีต้องใช้ไร่ละ 2 กระสอบ ราคากระสอบละ 800 บาท หรือไร่ละ 1,600 บาท มีพื้นที่ปลูก 8 ไร่ มีต้นทุนค่าปุ๋ยรวม 12,800 บาท ซึ่งฤดูการปลูกที่แล้ว ผู้ใหญ่พิพัฒน์ได้ผลผลิตประมาณ 500 กก.ต่อไร่ หรือประมาณ 4,000 กก. พ่อค้ารับซื้อ กก.ละ 5 บาท ขายได้เงินประมาณ 20,000 บาท เมื่อหักค่าเมล็ดพันธุ์ ยาฆ่ายา และค่าแรงงานแล้ว แทบจะไม่มีกำไร แถมจะขาดทุนอีกด้วย
“เมื่อก่อนข้าวโพดราคาดี ใครๆ ก็ปลูกแต่ข้าวโพด เพราะไม่ต้องดูแลมาก มีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ พอปลูกเยอะๆ ราคาก็ต่ำ เมื่อปลูกนานหลายปีก็ต้องใช้ปุ๋ยเคมีบำรุงดิน เมล็ดพันธุ์ก็ต้องซื้อทุกปี เพราะข้าวโพดพวกนี้เก็บเอาไว้ทำพันธุ์ไม่ได้ พอจะปลูกใหม่ก็ต้องเผาหญ้า เผาตอข้าวโพด ทำให้เกิดควันไฟ ชาวบ้านเป็นโรคหอบหืดกันมาก ชาวบ้านก็อยากจะปลูกพืชชนิดอื่นที่มีราคาดีกว่า ปลอดภัยกว่า ถ้ามีพืชชนิดไหนที่ดีก็จะปลูก ตอนนี้ในหมู่บ้านผมเริ่มปลูกไผ่กันแล้ว คนละ 1-2 ไร่ มีสมาชิก 13 คน ถ้าปลูกไผ่แล้วได้ผลดีกว่า คนอื่นๆ ก็จะปลูกกันอีกเยอะ” ผู้ใหญ่พิพัฒน์พูดถึงอนาคตใหม่ของคนแม่แจ่ม
การพลิกฟื้นผืนป่าเพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนตามโครงการ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” นั้น นายสมเกียรติ มีธรรม ผู้ประสานงานโครงการ กล่าวว่า มีเป้าหมายเพื่อยกระดับให้เกษตรกรมีอำนาจในการต่อรอง ซึ่งจะแตกต่างจากการปลูกข้าวโพดที่เกษตรกรกำหนดราคาขายไม่ได้ โดยเกษตรกรจะเป็นคนปลูก แปรรูป และเป็นเจ้าของร่วมในลักษณะของวิสาหกิจชุมชน โดยใช้พื้นที่ปลูก 1 ไร่/ 70 ต้น และปลูกในลักษณะผสมผสานหรือแทรกไปในแปลงข้าวโพด ไม่ปลูกไผ่ชนิดเดียวลงในแปลงผืนใหญ่
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผอ.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ร่วมปลูกไผ่
ขณะนี้มีเกษตรกรทั้ง 7 ตำบลในอำเภอแม่แจ่มเข้าร่วม รวม 262 คน มีพื้นที่ปลูก 466 ไร่ รวม 30,337 ต้น และจะขยายพื้นที่เป็น 2,000 ไร่ภายในสิ้นปีนี้ มีเป้าหมายผลผลิต 10-30 ตัน/ ไร่ / ปี ราคาไผ่ดิบประมาณตันละ 1,000 บาท โดยมีแผนงานที่จะสร้างโรงงานแปรรูปขึ้นมา (สภาอุตสาหกรรมสนับสนุนเครื่องจักร) นอกจากนี้ยังส่งเสริมพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นด้วย เช่น กาแฟ
สำหรับไผ่ที่ส่งเสริมให้ปลูกเป็นไผ่พันธุ์ ‘ซางหม่น’ และ ‘ฟ้าหม่น’ ซึ่งเป็นไผ่ตระกูลเดียวกัน มีแหล่งกำเนิดที่อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้นำไปขยายพันธุ์ที่จังหวัดน่านจนได้ผลดี ลักษณะเด่น คือ ลำไม้ไผ่โตเร็ว ลำตรง เนื้อไม้หนา เหมาะนำไปแปรรูปเป็นตะเกียบ เฟอร์นิเจอร์ หน่อกินได้ ฯลฯ ใช้เวลาปลูก 2-3 ปีสามารถนำไปทำตะเกียบ ส่วนเศษที่เหลือจะนำมาผลิตเป็นถ่านอัดก้อนให้พลังงานความร้อนสูง ไม่มีควัน ปลูก 4 ปีสามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์หรือสร้างบ้านได้
ขณะที่ ธัญพิสิษฐ์ พวงจิก ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระบุถึงประโยชน์จากการนำไม้ไผ่พันธุ์ซางหม่นไปผลิตถ่านกัมมันต์ (activated charcoal หรือ activated carbon) ในบทความเรื่อง “ถ่านกัมมันต์จากไม้ไผ่ : ตลาดยังมีความต้องการสูง ?” (ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 23 ฉบับที่ 6 (ฉบับพิเศษ) 2558) โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า
“ถ่านกัมมันต์เป็นวัสดุที่ประกอบด้วย คาร์บอนที่ได้จากถ่าน คาร์บอนที่ได้จากถ่านกัมมันต์มีความแข็งแกร่ง คงตัว ไม่ถูกละลายด้วยสารเคมีใด หรือไม่เป็นสนิม ใช้สร้างแผ่นเซลล์เชื้อเพลิง ใช้ผสมเพิ่มความแข็งแกร่งลงในปูนซีเมนต์ พลาสติก หรือวัสดุต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น ยางรถยนต์ ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยา อาหาร เป็นวัสดุประกอบสำคัญในการผลิตเซลล์เชื้อเพลิง ถ่านไฟฉาย เม็ดเชื้อเพลิงทดแทนให้ความร้อน ตลาดโลกมีความต้องการปีละ 10 ล้านตัน ราคาตันละ 30,000-40,000 บาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายถึงปีละ 400,000 ล้านบาท”
สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการปลูกและการแปรรูปไผ่นั้น ในปี 2561 นี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวม 11 กลุ่ม และทำบันทึกกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรม บริษัทประชารัฐรักสามัคคีเชียงใหม่ ฯลฯ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งร่วมกันปลูกไผ่ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุน เช่น กรมป่าไม้ สหภาพยุโรป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งหลังจากที่ปลูกไผ่ได้ 2-3 ปีแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขณะที่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการก็จะคืนต้นกล้าให้แก่โครงการเพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไป
วันนี้แม่แจ่มโมเดลพลัสเริ่มเดินหน้าแล้ว จากผืนดอยหัวโล้นกำลังกลายเป็นป่าไผ่เขียวขจี เป็นเมืองป่าไม้ โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยหรือสารเคมี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่เกษตรกรชาวแม่แจ่มก็มีความหวังที่จะปลดหนี้สิน มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แม่แจ่มโมเดลฯ จะเป็นต้นแบบเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ อย่างแน่นอน ..!!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |