18 มี.ค. 2564 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศ จึงได้ดำเนินการผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” (เมด อิน ไทยแลนด์) เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ตั้งเป้าปี 64 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า เป็นโอกาสสำคัญมากในการสร้างหรือเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบการกับภาครัฐ โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่จะใช้ และในส่วนของงานก่อสร้างกำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อน โดยต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่า หรือปริมาณเหล็กหรือเหล็กกล้าที่ใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดในครั้งนั้น ซึ่งหากเพิ่มสัดส่วนให้ได้ตามที่กำหนดไว้ 60% ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท และยังช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้เกิดการหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท
“โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ โดยเร็ว ๆ นี้จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากฝั่งเอกชนเพื่อแสดงความต้องการและทำความเข้าใจร่วมกัน”นายสุพันธุ์ กล่าว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท และสำหรับสาระสำคัญของกฎกระทรวงการคลัง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุทีดังกล่าว ในกรณีที่หน่วยงานรัฐไม่สามารถใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศได้ตามอัตราที่กำหนดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการขาดแคลน หรือผู้ประกอบการไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือเหตุผลอื่น ๆ หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจเหนือขึ้นไป 1 ขั้นก่อน
และในส่วนของการจัดจ้างงานก่อสร้าง หากหน่วยงานของรัฐไม่สามารถใช้เหล็กหรือเหล็กกล้าไม่ครบตามข้อกำหนดจำนวน 90% ได้ ให้หน่วยงานรัฐไปจัดซื้อพัสดุชนิดอื่น ๆ ที่ผลิตภายในประเทศให้มีสัดส่วนครบตามที่กำหนด ซึ่งทางกรมบัญชีกลางได้ส่งเวียนแนวปฏิบัติไปยังส่วนราชการทุกหน่วยงานแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะได้ทะยอยออกทีโออาร์ จัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนต่อไปของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งได้ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในประเทศไทยมาร่วมกันขึ้นทะเบียน Made in Thailand ให้มากขึ้นอีกด้วย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นตัวสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานการผลิตอยู่ต่างประเทศก็อาจจะเป็นปัจจัยให้ย้ายฐานการผลิตได้ ซึ่งคาดว่าภายในระยะเวลา 1 ปีจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การกีดกันทางการค้า เนื่องจากการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวเป็นเพียงการดำเนินงานของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกด้านอื่น ๆ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |