ใกล้เข้าฤดูกาล “เกณฑ์ทหาร” สำหรับชายไทยที่อายุครบเกณฑ์ 20 ปี ตามวงรอบในต้นเดือนเมษายนนี้แล้ว โดยกองทัพบกยังมีความคาดหวังว่าจะมีชายไทยสมัครใจเป็นทหารเพิ่มขึ้นในปีนี้ จากมาตรการจูงใจทั้งการเพิ่มสวัสดิการ และสิทธิ์ในการสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบ เพื่อเข้าสู่ระบบทหารอาสา ไม่ต้องบังคับเกณฑ์ทั้งหมด
สอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมที่มีการตรวจสอบ ถ่วงดุล สร้างระบบการฝึกทหารให้เปิดกว้าง ปลอดภัย ไม่ใช้ “โซตัส” ในการกล่อมเกลาเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้เป็นไปตามจารีตการบังคับบัญชาแบบไร้เหตุผล ซึ่งต้องลุ้นต่อไปว่าการสมัครเข้ารับราชการของชายไทยในยุค 2021 จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน
โดยในปีนี้ กองทัพบกได้ทดลองใช้การเปิดรับสมัครพลทหารออนไลน์เป็นกรณีพิเศษ อายุ 18-20 ปี และอายุ 22-29 ปี ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา มีชายไทยเข้ายื่นความประสงค์สมัครเข้าสู่ระบบออนไลน์เป็นจำนวนถึง 4,805 นาย คิดเป็น 48% ของอัตราที่กองทัพบกเปิดรับสมัคร โดยแยกเป็น กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 1,157 นาย, กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 1,627 นาย, กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 815 นาย, กองทัพภาคที่ 4 จำนวน 1,206 นาย และกองบัญชาการกองทัพไทย 20 นาย
ทั้งนี้ ผู้สมัครส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 18-20 ปี คิดเป็น 80% ซึ่งรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดดังกล่าว หน่วยทหารจะนำไปตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งในวันคัดเลือก
จากข้อมูลการรับสมัครยังพบว่า มีชายไทยสนใจเข้ายื่นความประสงค์กระจายอยู่ในทุกภูมิภาค โดยส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบออนไลน์ด้วยตนเอง มีบางส่วนเดินทางมาประสานและขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จากหน่วยทหาร หรือเจ้าหน้าที่สัสดีประจำอำเภอ/จังหวัด
นอกจากนี้ มีบางหน่วยที่มีผู้ยื่นความประสงค์ขอเข้าประจำการเต็มจำนวนยอดทหาร อย่างไรก็ตามกองทัพบกขอขอบคุณทหารกองเกินที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นทหารกองประจำการตามโครงการนี้ และต้องไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับการคัดเลือก ณ มณฑลทหารบกที่ตนเองระบุไว้ในใบสมัคร
กระนั้น ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดว่าจะมีผู้สมัครประมาณ 10,000 คน เนื่องจากมาตรการจูงใจที่กองทัพบกได้ออกแบบไว้ค่อนข้างดี ยังไม่นับสภาพเศรษฐกิจที่มีคนตกงานจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถเลือกหน่วยในภูมิลำเนาของตนเองเพื่อสะดวกในเรื่องของการเดินทาง ไม่ไกลจากที่พักอาศัย ลดความยุ่งยาก
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า ผลการรับสมัครทหารกองประจำการผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งนี่เปินปีแรกและเป็นนโยบายที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. มอบให้ตนเองไปพิจารณาว่า ทำอย่างไรที่จะสร้าง career path หรือเส้นทางการรับราชการเป็นทหาร ให้กับกำลังพลตั้งแต่พลทหารขึ้นมา หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่มีจิตใจรักการเป็นทหาร อยากเข้ามาร่วมในกองทัพ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 10,000 คน มาสมัครกว่า 4000 คน แต่เหลือกว่า 3000 คนที่เข้าเกณฑ์
“ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะทหารถือคติทำตามคลาน-เดิน-วิ่ง ครั้งแรกอาจจะมีปัญหา แต่ไม่เป็นไร คณะทำงานก็จะมาพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งปีหน้าจะมีการปรับแก้ไขใหม่ โดยเฉพาะการเปิดให้พลทหารเป็นนักเรียนนายสิบ ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะกำลังพลทุกนายอยากมาร่วมในกองทัพ สภาพร่างกายทุกคนเตรียมตัวมาดีมาก โดยเฉพาะการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย”
พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังระบุว่า เหตุผลอีกประการที่น่าจะทำให้ผู้มาสมัครไม่เป็นไปตามเป้า ก็เพราะการประชาสัมพันธ์อาจใช้ศัพท์ทางทหารที่เป็นทางการ หรือทางราชการเกินไป เช่น ทหารกองเกิน ทหารกองประจำการ ครบเกณฑ์ ซึ่งต้องการปรับให้ภาษาเข้าถึงประชาชนมากขึ้น
นอกจากการเกณฑ์ทหารที่กองทัพได้ปรับตัวและวางระบบเรื่องการดูแลในสถานะของ “ลูกคนเล็ก” ของกองทัพ เพื่อสร้างความอุ่นใจที่ผู้ปกครองจะส่งลูกหลานของตนเองเข้ากรม กอง หวังลบภาพจำเรื่องความรุนแรงและการซ่อม “ไอ้เณร” สั่งไปเลี้ยงไก่ ซักกางเกงในคุณนาย แม้กองทัพจะเลิกใช้คำว่า นายทหารรับใช้ แต่ก็ยังคงใช้นายทหารบริการอยู่ และก็เป็นไปตามภารกิจที่เหมาะสม เพียงแต่ลดจำนวนลง และลดการปฏิบัติกับ “ทหารเกณฑ์” เหมือนเป็นเบ๊ ที่รองรับงานในบ้านของผู้บังคับบัญชาและครอบครัวลงเท่านั้น
ในส่วนอื่นที่มีการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณของกองทัพ การปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่เป็นธรรม จากกรณีของ “หมู่อาร์ม” ก็อาจส่งผลให้การปรับย้ายในกรมสรรพาวุธทหารบกในห้วงที่ผ่านมามีการขยับหลายตำแหน่ง แม้ผู้บัญชาการทหารบกจะระบุว่า เป็นการปรับตามวาระ และมีการโยกคนเข้ามาสลับสับเปลี่ยนก็เป็นไปตามความเหมาะสม และเป็นสายงานเดียวกัน แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าในหน่วยนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น สปอร์ตไลต์จากผู้บังคับบัญชาก็เข้ามาดูลึกไปถึงเนื้อใน ไม่ปล่อยให้ปัญหากลายเป็นยอดผู้เขาน้ำแข็ง เกิดเป็นกบฏที่เข้าไปซบกับฝ่ายการเมืองเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ยังไม่นับเรื่องเงินนอกงบประมาณ ที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยน รวมไปถึงสวัสดิการเชิงพาณิชย์ที่มีการยกเครื่อง จัดระบบกันใหม่ ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าในระยะยาวจะกลับไปสู่จุดเดิมอีกหรือไม่หากกระแสข่าวต่างๆ เงียบหายไปตามกาลเวลา และคนลืมต้นตอของปัญหาที่สะท้อนออกมาเป็นความสูญเสียจากโศกนาฏกรรมที่โคราช
แม้ว่าหลายเรื่องจะมีการเมืองแฝงเข้ามาเพื่อสร้างกระแสโจมตีกองทัพ แต่ต้องยอมรับว่าข้อมูลหลายเรื่องเป็นความจริง หากรับฟังด้วยใจเป็นธรรมและปรับเปลี่ยน ไม่มีใครที่เสียหน้า หรือเสียหาย เพราะนอกจากกองทัพจะได้ประโยชน์ ก็จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น
นำไปสู่ความรู้สึกที่คนในประเทศอยากจะเป็นทหารรับใช้ชาติ และดูแลประชาชน ทำงานเพื่อส่วนรวม สามารถทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างมีเกียรติได้
แม้จะเป็นแค่เริ่มต้นที่ต้อง “คลาน” ก่อนที่จะเดิน และวิ่ง เพื่อเป็นการ “รีแบรนด์” ให้กองทัพกลับมาทำหน้าที่กองทัพอาชีพอย่างสมภาคภูมิ ก็ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด!!!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |