ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม (ซ้าย)รศ.นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ(ขวา)
17มี.ค.64-ในการเสวนาหัวข้อ "วัคซีนโควิด ทำ"ลิ่มเลือดอุดตัน"หรือไม่ จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม อาจารย์คณะแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าวิจัยวัคซีนโควิด จุฬาฯ กล่าวว่า ขณะนี้ ทั่วโลก 6 มีวัคซีนโควิดที่ขึ้นทะเบียน ทุกวัคซีนอนุมัติใช้แบบภาวะฉุกเฉิน และพบว่าทุกวัคซีนมีประสิทธิภาพ60-90% รับประกันว่เมื่อฉีดแล้ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต ส่วนหลักคิดเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน ทางคณะกรรมการอาหารและยา ของทุกประเทศ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ( WHO) ให้การรับรอง เพราะมีการทดลองฉีดในคนเกินหลักหมืนคนขึ้นไป และติดตามผลเกิน2เดือน จึงให้ขึ้นทะเบียนได้ และสำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ต่างจากโรคอื่นๆ ตรงที่ผ่านไปตั้งแต่กลางกลางเดือนธ.ค.ปีก่อน จนถึงขณะนี้ มีการฉีดวัคซีนทั่วโลกรวดเร็วกมากหลายร้อยล้านโดส ล่าสุดฉีดกว่า 300 ล้านโดส ใน 126 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย หรือทั้งโลกเฉลี่ยฉีดวันละ 9 ล้านโดส ใน 6วัคซีน ซึ่งรวมทั้งวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า
อย่างไรก็ตาม ในการการวิจัยที่ทดลองในคนหลักหมื่นคน แต่เมื่อฉีดกันเป็นหลักแสน หลักล้าน จึงไม่แปลกใจ ที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ แต่เจอน้อยมากอัตรา 1 -5 คนต่อการฉีดล้านครั้ง เช่น เกิดกรณีแพ้เฉียบพลันบ้าง เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 44,963 คน หรือเฉลี่ย 1หมื่นคนต่อวัน ผลข้างเคียงของวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นซิโนแว็คก็พบผลข้างเคียงน้อยมาก
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีดไปแล้วทั้งโลก 37ล้านโดส ถ้าดูความกังวล ปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน และบางคนเสียชีวิตว่าเกี่ยวกับวัคซีนหรือไม่นั้น ปกติชาติพันธุ์ตะวันตก จะพบปัญหาลิ่มเลือดอุดตันง่ายกว่าคนเอเชีย จึงไม่แปลกใจถ้าจะเจอคนที่มีอาการนี้ อย่างไรก็ตาม EMA หรือ องค์อาการอาหารและยายุโรป ยังยืนยันว่าไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากับปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งในวันพฤหัสที่ 18 มี.ค.นี้ ทางEMA จะสรุปรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้จะดูเป็นรายบุคคล เพื่อให้ 12 ประเทศยุโรปที่ลังเล ได้เดินเครื่องฉีดวัคซีนกันต่อไปได้
รศ.นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอยุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านโหลิตวิทยา กล่าวว่า โรคภาวะลิ่มเลือดอุดตัน คือ การอุดตันหลอดเลือดดำที่ขา เช่นการเกิดขาบวม ลิ่มเลือดอาจลอยไปอุดที่ปอดได้ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจนเฉียบพลัน ทำให้หัวใจวายหรือเสียชีวิต ได้ทันที ปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน ยังเป็นสาเหตุตายอันดับ 3 ของชาวตะวันตก มักสัมพันธ์กับอายุ ที่เพิ่มขึ้น เช่นประชากรยุโรป อายุ60-79ปี จะพบปัญหานี้ 1 ใน4 หรือถ้าอายุเกิน 80ปี จะพบ3ใน 4 หรือเฉลี่ยอายุ 60ปีขึ้นไป 1,000 คนจะพบ 1-2 คน /ปี ถ้าอายุ 70ปีขึ้นไปพบ 2-7 คน/ปี
สำหรับ โรคโควิด19 พบว่าอาจเพิ่มโอกาสเกิดหลอดเลือดอุดตันได้มากขึ้น ซึ่งมีการศึกษาเรื่องนี้ และตีพิมพ์ในนิตยสารการแพทย์ โดยพบว่าคนไข้โควิด 64,503 คน มีปัญหาหลอดเลือดอุดตัน 15% แบ่งเป็น ลิ่มเลือดอุดตันที่ปลอด 7.8% และลิ่มเลือดอุดตันที่ขา 11.2% ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น ถ้าคนไข้อยู่ในห้องไอซียู เพิ่มขึ้นเป็น 23% ส่วนคนไข้โควิด ที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันที่สมอง หัวใจ หรืออวัยวะอื่นๆ มีประมาณ 1-4 % ในคำแนะนำสมาคมนานาชาติ จึงได้ระบุว่าคนไช้โควิดที่นอนโรงพยาบาล จะต้องมีการให้ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดควบคู่กับการรักษาอื่นๆ ส่วนสาเหตุที่คนไข้โควิด จะเกิดปัญหาลิ่มเลือดอุดตันนั้น เนื่องจาก เชื้อโควิด จะไปกระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งไปกระตุ้นให้หลอดเลือดแดง หรือเกล็ดเลือดเกิดการแข็งตัว ซึ่งเป็นผลทำให้ลิ่มเดลือดไปอุดตันที่ปอดตามมา
อย่างไรก็ตาม การเกิดลิ่มเลือดอุดตันอาจจะไม่ได้มาจากโควิดอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่นคนนอนโรงพยาบาลนานๆ .ในต่างประเทศมีการศึกษาพบว่ามีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ถึง 5-30% และถ้าเป็นการนอนอยู่ในไอซียู ก็จะมีโอกาสเกิดได้ถึง10-80% เช่น คนที่ติดเชื้อในกระแสแลือดในสหรัฐ เกิดลิ่มเลือดอุดตัน 1 ใน3 แม้ว่าจะมีการให้ยาป้องกันเลือดแข็งตัวแล้วก็ตาม หรือในช่วงที่เกิดH1N1 ในปี2009 คนไข้ที่ติดเชื้อก็เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันสูงถึง 6% และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 44% ถ้ามีภาวะปอดอักเสบรุนแรง สำหรับ ประเทศไทย โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ 9 แห่ง พบว่าคนไข้นอนไอซียู 4,000คน เกิดลิ่มเลือดอุดตันแค่ 0.4 % ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคนชาติตะวันตก ส่วนทางรพ.จุฬาฯ มีคนไข้โควิด รับรักษาไว้ 385 คน ไม่พบมีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน และไม่ได้ให้ยาละลายลิ่มเลือด
รศ.นพ.นภชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งจากการศึกษาในการทดลองระยะที่ 3 และรวบรวมจาก 4 ผลการศึกษา พบว่าอาสาสมัครที่ทำการทดลอง 23,000คน แบ่งเป็นได้รับวัคซีนจริง 12,000 คน และได้รับวัคซีนหลอก 12,000 คน พบว่ามีอาการข้างเคียงรุนแรงเพียงแค่ 0.7% เท่านั้นในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนจริง และ0.8% ในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนหลอก และเมื่อมาดูเฉพาะกลุ่มคนที่เกิดปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เกิดลิ่มเลือดอุดตันน้อยกว่า 0.1% หรือ แค่ 4 คนในกลุ่มที่รับการทดลอง 12,000 คน แต่กลุ่มได้รับวัคซีนหลอกเกิด 8 คนหรือคิดเป็น 0.4% ของ12,000 คน
ทั้งนี้ ถ้ามาดูข้อมูลคนที่เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนจริง ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดแอสตร้าเซนเนก้า รายงานว่ามีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 17 ล้านคนในยุโรป เกิดอาการไม่พึงประสงค์ 37 คน ส่วนตัวเลขโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันของชาวยุโรป พบว่า 3 คน/1,000คน/ปี หรือ 3,000 คน/1 ล้านคน/ปี จะมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ดังนั้นสรุปได้ว่าคนยุโรปมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากกว่าคนชาติพันธุ์อื่นๆ
"ยังไม่พบสัญญาณใดๆว่าคนฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจะเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากกว่าปกติ ดังนั้น EMA จึงประกาศเบื้องต้นว่าวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าไม่สัมพันธ์ การเกิดลิ่มเลือดอุดตันและการเกิดภาวะนี้ ยังน้อยกว่าการเกิดลิ่มเลือดอุดตันกับประชาชนยุโรปทั่วไปอีกด้วย "รศ.นพ.นภชาญกล่าว
การติดเชื้อจริงในธรรมชาติ กับการฉีดวัคซีนแล้วจะทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันต่างกันหรือไม่ รศ.นพ.นภชาญ ตอบประเด็นนี้ว่า คนติดเชื้อจริงไม่ได้รับแค่แอนติเจนของไวรัสโควิดอย่างเดียว แต่ไวรัสยังไปกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบมากมาย กระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดขึ้นเมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้น มีการไปทำลายอวัยวะต่างๆ อีกทั้งไวรัสโควิด ยังจะปล่อยดีเอ็นเอ หรือกระบวนการต่างๆที่ไปกระตุ้นทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต่างมากกับการฉีดวัคซีน ซึ่งฉีดเพื่อให้แอนติเจน เข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่กระบวนการทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันทำงาน ดังนั้น สรุปได้ว่าการฉีดวัคซีนจึงไม่ไปกระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือดแต่อย่างใด
ศ.นพ.เกียรติ เสริมในประเด็นนี้ว่าการฉีดวัคซีนโดสต่ำมาก และวัคซีนที่ฉีดยังไม่ได้ทำให้เชื้อแบ่งตัว ดังนั้น การทำให้อักเสบจึงมีโอกาสน้อยมาก และมีไม่ถึง 1% ของคนที่ฉีดแล้วมีอาการไช้สูง ดังนั้นคนที่อายุมาก คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็จะมีความเสี่ยงตามทฤษฎีหากไม่ได้รับวัคซีน
"การอนุมัติวัคซีนในภาวะฉุกเฉิน กับความปลอดภัย องค์การอาหารและยาทั่วโลก รวมทั้งอย.ของเราด้วยไม่มีการรอมชอมเรื่องความปลอดภัย ถ้าข้อมูลมีความเสี่ยง ซึ่งต้องมีการติดตามดูผลอย่างน้อย 2เดือน จึงอนุมัติให้มีการฉีด ย้อนอดีตการทำวัคซีน ถ้าตัวไหนมีปัญหาส่วนใหญ่เกิดในเวลาไม่เกิน 60 วัน ตัวตัดความปลอดภัยจึงอยู่ระยะนี้ ถ้าไม่เจออาการข้างเคียงที่น่าเป็นห่วง ก็สามารถใช้ในภาวะฉุกเฉิยนได้ และ 6เดือนวัคซีนมีความปลอดภัย ก็จะได้รับการขึ้นทะเบียน และอาจมีการอนุญาตให้ฉีดได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันทุกปี " ศ.นพ.เกียรติ กล่าว
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็น คนสับสนวัคซีนมีประสิทธิภาพต่างกัน จะต้องรอวัคซีนที่ประสิทธิภาพสูงๆ นั้น จากการประชุมผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก พบว่า วัคซีนทุกตัวสามารถป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ 90-100% ทำให้ไม่เกิดป่วยจนต้องนอนโนโรงพยาบาล จนล้นโรงพยาบาล และข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ยังระบุอีกว่า เริ่มเห็นได้ชัดเจนว่า วัคซีนมีผลทำให้เกิดการป้องกันการติดเชื้อ การฉีดเข็มเดียวป้องกันได้ 60-70% เข็มที่2 มป้องกัน 90% ดังนั้น การฉีดวัคซีนจะทำให้ร่างกายได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ร้ายที่เป็นเชื้อโควิด ซึ่งจะเป็นการได้เปรียบแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในที่สุด มีแนวโน้มว่าเราจะต้องฉีดซ้ำอีก ทุก1-2ปี เหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |