สะท้อนภาพสังคมไทยจากการสู้ภัยโควิด


เพิ่มเพื่อน    

 

การต่อสู้กับโควิด-19 ของประเทศไทยเรานั้น ถ้าเป็นหนัง-ละคร ถือว่าสนุกครบทุกรสชาด มีทั้งความสำเร็จ ล้มเหลว ผิดหวัง-สมหวัง หวาดเสียว เจียนอยู่เจียนไป ทะเลาะกันไป-ด่ากันไป-สู้กันไป ผู้แสดงมีทั้งThe Good, The Bad and The Ugly.. นี่คือประเทศไทยที่ไม่มีชาติใดจะเหมือน

ในการต่อสู้โควิด-19ของประเทศไทยที่ผ่านมามีประเด็นที่น่าพูดถึงเพื่อเตือนใจและเตือนความจำคนไทยดังนี้…

1.อดีตแห่งความภูมิใจ : ม้านอกสายตา กลายเป็นSuper Starในสังคมโลก

ประเทศไทยเริ่มต้นจากการติดเชื้อจากจีนเป็นอันดับต้นๆของโลก ตื่นเต้นกันทั้งประเทศ ถัดมาเจอClusterที่สนามมวย และสถานบันเทิงแถวทองหล่อ โกลาหลอยู่พักใหญ่...แต่ก็เอาตัวรอด และ รักษาความบริสุทธิ์ของประเทศไว้อย่างเหนียวแน่นจนสังคมโลกยกย่องให้เป็นหนึ่งชาติที่สู้กับโควิด-19ได้อย่างดีเยี่ยมปัจจัยที่เอื้อความสำเร็จในครั้งนั้น ได้แก่การแยกการเมืองออกจากการต่อสู้โควิด การมีทีมแพทย์ที่ปรึกษาระดับปรมาจารย์ การมีทีมอาสาสมัครสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การมีความเด็ดขาดประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกอบกับในช่วงเวลานั้นคนไทยส่วนใหญ่กลัวโควิด-19

2.ลืมการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา

ณ.ช่วงเวลาหนึ่ง ขณะที่ต่างชาติค่อนโลกประสบความยากลำบากจากปัญหาโควิด-19 มีตัวอย่างให้เราเห็นมากมาย แต่ดูเหมือนว่าเราจะมองผ่านมันไปอย่างไม่สนใจนัก..เราลืมการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเราไปหมดสิ้น…

เมื่อไรที่เราประมาท และ ลืมการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา เราจะถูกกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดเราไปในจุดที่เราไม่ถนัด”..(Andrew Grove)

คำพูดที่คนไทยได้ยินกันจนคุ้นหูอยู่ทุกวัน คือ”ไม่พบการติดเชื้อโควิด-19ภายในประเทศ” จนทำให้คนไทยเกิดความมั่นใจกันทั้งประเทศ…

ที่เห็นชัดคือ เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่เราขาดการรับมือที่ดี ..ช่วงแรกจึงดูล่าช้า สับสน วุ่นวาย ไร้ทิศทางที่ชัดเจน(มั่ว)...

3.พลาดโอกาสทอง

โควิดได้ให้โอกาสประเทศไทยมากกว่าชาติใดในโลก สภาพการปลอดโควิดของไทยในช่วงหนึ่งนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะฟื้นตัวเร็วกว่าชาติใดในโลก โควิด-19 รอบแรกเราก็เอาอยู่แล้ว..เศรษฐกิจก็กำลังจะฟื้นตัว...ภาพลักษณ์ในสายตาชาวโลกก็กำลังดีวันดีคืน..นักลงทุนก็กำลังสนใจจะมาลงทุน...ขณะที่ทุกอย่างล้วนเป็นใจต่อ โอกาสทองของประเทศ ..เรากลับปล่อย โอกาสทองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย…..

โอกาสแรกของเราได้กลายเป็นโอกาสสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย

-เราเสียเวลาไปกับความขัดแย้งของคนในชาติ และ ความวุ่นวายของม็อบอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด

-คนที่มีหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ และ แสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ โควิดมันฟ้องทั้งเรื่องการลักลอบข้ามพรมแดน ทั้งเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย กระบวนการค้ายาเสพติด ตลอดจนบ่อนการพนันเถื่อน ฯลฯ

-ระบบราชการของประเทศไทยยังคงอ่อนด้อยด้านการกำกับติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของตน...

-ทั้งที่มีสิ่งบอกเหตุการระบาดของโควิด-19 จากอินเดียสู่เมียนมาร์มาเป็นเวลานาน ประเทศไทยกลับขาดการเตรียมการที่ดี

-เราขาดการปฏิบัติการสุ่มค้นหาโควิด-19ในชุมชนเชิงรุก และในกลุ่มเสี่ยงอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง

4.มีทองเท่าหนวดกุ้ง สะดุ้งจนเรือนไหว..พบโควิดในแม่ค้ากุ้ง..สะดุ้งทั่วไทย

เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเริ่มตื่นจากภวังค์  จากการพบโควิด-19ในแม่ค้ากุ้งที่แหล่งค้ากุ้งสมุทรสาคร ทำให้เราสามารถสาวไปถึงรังโควิดใหญ่ในแรงงานต่างด้าวสมุทรสาครซึ่งบ่มเพาะตัวมานาน... ขอขอบคุณแม่ค้ากุ้ง...ถ้าไม่มีท่าน...ไม่มีวันนี้..

5.สุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด(Pleasure without Conscience)

มีอยู่หลายช่วงเวลา ที่เกิดการระบาดของโควิด-19ไม่หยุดหย่อน ต้นเหตุสำคัญได้แก่กลุ่มคนที่เห็นแก่เที่ยว-รักสนุก-คึกคะนองโดยไม่รู้จักยั้งคิด เห็นโควิดเป็นเรื่องส่วนตัว และ จงใจมั่วสุมฝ่าฝืนกฎหมาย…...

เพราะมั่นใจไม่ติดเชื้อจนประมาท เพราะทนงตนจึงต้องพลาดเป็นหนสอง

ชาติเราจึงพลาดโอกาสทอง ความสำเร็จซ้ำสองอาจไม่มี...

เพราะเราใช้ชีวิตแบบประมาท ไม่ยอมดูต่างชาติเป็นวิถี

ระบาดหนักกว่าเดิมจึงได้มี เพราะหลงระเริงเสรีจึงมีภัย..”

6.การเล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ(Politics without principle)

ปัญหาของประเทศไทยที่ใหญ่กว่าโควิด-19  คือปัญหาการขาดจิตสำนึกที่ดีต่อชาติบ้านเมืองของนักการเมืองทั้งในและนอกสภา ที่ไม่เห็นชาติอยู่ในสายตา มืดบอดมัวไปกับการแสวงหาอำนาจ ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ประเทศไทยจึงต้องจมปลักอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไม่สิ้นสุด

7.เด็กด้อยประสบการณ์สร้างชาติ

ระหว่างการต่อสู้โควิด-19 ได้เห็นภาพเด็กไทยด้อยประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองคนแล้วคนเล่าแล้วสะท้อนใจ หลายคนต้องติดคุกติดตารางท่ามกลางความเสียใจของพ่อแม่ มองย้อนกลับไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงก็คือ คุณภาพของครอบครัว หลายครอบครัวขาดการอบรมเลี้ยงดูที่ถูกต้อง จึงสร้างได้ความหายนะแก่เด็กและชาติบ้านเมืองตามมา…The ruin of a nation begins in the homes of its people.

8.พลังของผู้สูงวัยช่วยชาติได้ยามวิกฤติ

เป็นที่น่าสังเกตว่ายุคนี้ผู้สูงวัยคือพลังที่ยิ่งใหญ่ของชาติ เมื่อชาติประสบภัยผู้สูงวัยไม่ยอมอยู่นิ่ง สังคมออนไลน์ของผู้สูงวัยได้ขยายตัวเป็นอย่างมาก นอกจากจะความมีคุณภาพด้านการรักษากฎระเบียบวินัยแล้ว พวกเขาคือพลังบริสุทธิ์ที่ยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง และใช้ประสบการณ์เตือนสติให้แก่สังคมไทย

การสู้ภัยโควิด-19 ได้สะท้อนภาพตัวตนที่แท้จริงของสังคมไทยให้เราได้เห็นดังต่อไปนี้

1.ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงประเทศหนึ่ง สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้อย่างดีถ้ามีความสามัคคีและปราศจากความขัดแย้งทางการเมือง

2.สำหรับประเทศไทยเรานั้น การแข่งขันด้านต่างๆกับชาวโลกนั้นไม่ยากเท่ากับการแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ ของคนในชาติ

3. ความสำเร็จในอดีต(ในการสู้โควิด)มิอาจช่วยเราได้…ถ้าชาติไทยตกอยู่ในความประมาทและขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

4.จากศักยภาพการต่อสู้โควิด-19ของไทย เชื่อเหลือเกินว่า ถ้าประเทศไทยไม่ติดอยู่ในวังวนแห่งการเมืองที่ด้อยคุณภาพ ป่านนี้อย่างน้อยประเทศไทยคงเป็นประเทศชั้นนำของเอเชียไปแล้ว

5.ปัญหาสำคัญของการต่อสู้กับโควิด-19 ของประเทศไทยที่ผ่านมา คือ ความไม่รู้จักกาลเทศะตลอดเวลาของคนไทยบางคนบางกลุ่ม

6.ช่วงเวลาที่ผ่านมา คนส่วนน้อยที่มีความบกพร่องด้านจิตสำนึกเพียงไม่กี่คน ได้ก่อความเสียหายทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจให้แก่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศอย่างใหญ่หลวง

7.สงครามการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับโคโนน่าไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่สงครามระหว่างมนุษย์กับไวรัสโดยตรง แต่เป็นสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันที่สอดแทรกเข้ามาอยู่ทุกขั้นตอน..มนุษย์ต้องต่อสู้กับความไร้จิตสำนึก และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ด้วยกัน

8.ลำพังการต่อสู้กับไวรัสโดยใช้หลักระบาดวิทยาแบบตรงไปตรงมาก็พอจะเอาชนะไวรัสตัวนี้ได้ เพราะโรคติดต่อ เพียงคนไม่มีการติดต่อ โรคก็จะไม่มีการติดต่อแต่การที่เราต้องมาเสียเวลาต่อสู้กับมนุษย์ที่ไร้จิตสำนึก ขาดความรับผิดชอบและมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน ที่คอยเป็นแนวร่วมให้แก่ไวรัสตัวนี้ตลอดเวลา ดังนั้นการจัดการกับคนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการจัดการกับไวรัส...

9.การที่ประเทศไทยสามารถผ่านชีวะสงครามครั้งนี้ได้ เพระเรามีสิ่งดี นอกจากเรามีระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่เข้มแข็งแล้ว เรายังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

10.เบื้องหลังความสับสนวุ่นวายที่คู่ขนานไปกับการต่อสู้โควิด-19 คือการที่รัฐมีการผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมาย เป็นผลทำให้คนไทยบางกลุ่มไม่เกรงกลัวกฎหมายและทำผิดซ้ำซาก จนสับสนวุ่นวายราวกับเมืองเถื่อน ประชาชนส่วนใหญ่จึงตำหนิว่ารัฐอ่อนแอเกินไป แต่ถ้ามองว่าเป็นการขุดบ่อล่อปลาของรัฐ ก็ถือว่าได้ผลเพราะปลากำลังลงบ่อไม่ขาดสาย..อย่างไรก็ตามการผ่อนปรนที่มากเกินไป คือ อุปสรรคในการสร้างวินัยของคนในชาติ

11.เมื่อประเมินเฉพาะการต่อสู้โควิดรอบใหม่ของประเทศไทยท่ามกลางปัญหาหนักมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้เราจะล่าช้าสับสนไปบ้างในช่วงแรก แต่ก็สามารถตีตื้นกลับมากระชับพื้นที่โควิดและชะลอการระบาดให้ลดลงได้ในระดับที่น่าพอใจ(สถานพยาบาลสามารถรองรับได้อย่างดี) แม้การระบาดรอบใหม่ทั่วโลกจะรุนแรงและยากในการบริหารจัดการกว่ารอบแรกมาก แต่ประเทศของเราก็ยังสามารถประคองการติดเชื้อโควิด-19ในประเทศให้อยู่อันดับท้ายๆของโลกได้(อันดับ116) อัตราเสียชีวิตแค่ 0.11%(12 มีนาคม 2564)  อย่างไรก็ตามแม้จะมีวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่าจะโควิดจะจบง่ายๆ  มันคงจะผลุบๆโผล่ๆและวุ่นวายคู่กับประเทศไทยไปอีกหลายปี

12.ล่าสุดจากการพบการค้นหาเชิงรุกของ กทม.พบผู้ติดเชื้อโควิด-19เป็นจำนวนมากนั้น สะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ติดที่ติดเชื้อจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการ คือภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในสังคมไทยตลอดเวลา เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ไปรักษาตัว ไม่ได้ไปโรงพยาบาล ดังนั้นหนทางเดียวที่จะค้นพบได้คือ การค้นหาเชิงรุกเท่านั้น จงอย่ากลัวที่จะค้นพบ..แต่จงกลัวที่จะค้นไม่พบ…….

นี่คือประเทศไทย จะทำอะไรแสนลำบาก           

สู้กับโควิดที่ว่ายาก ก็ไม่ลำบากเท่าสู้คน

มีคนไม่ดีเพียงน้อยนิด ทำให้ชาติวิกฤติสับสน        

ชาวไทยเดือดร้อนกันทุกคน ราวกับชาติของตนไร้ขื่อแป

ถ้าทุกคนเคารพกฎหมาย ชาติไทยไปไกลกว่านี้แน่

ขอคนไทยอย่ายอมแพ้  โควิดที่ว่าแน่จะแพ้ไทย”….

 

นายแพทย์ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"