ถ้าไทยเราจะมีส่วนช่วยในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติของเมียนมาได้จะต้องมีบทบาทอย่างไร?
ข้อแรกที่ต้องตระหนักคือ ไทยจะต้องกระตุ้นให้อาเซียนทั้งกลไกมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการแสวงหาทางออกกันอย่างเป็นรูปธรรม
และอาเซียนจะต้องจับมือกับสหรัฐ, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และแน่นอนสหประชาชาติในการระดมสรรพกำลังทางการเมือง การทูตและเศรษฐกิจ เพื่อให้กองทัพเมียนมาตระหนักถึงความสำคัญของการที่จะต้องฟังเสียงของนานาชาติในการระงับเหตุร้ายที่อาจจะบานปลายใหญ่โต
เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ลากยาวและยืดเยื้อออกไปในเมียนมาอาจจะเกิดภาวะ “สงครามกลางเมือง”
เป็นสภาพความวุ่นวายสับสนที่มีการเข่นฆ่านองเลือดกันอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกที่เราเคยเห็นในอิรักหรือลิเบียหรือโคโซโวมาแล้ว
สำหรับประเทศไทย เดิมพันมีสูงกว่าประเทศอื่นๆ ข้างนอก เพราะเราคือเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด นอกจากจะมีพรมแดนทางบกที่ยาวกว่า 2.4 พันกิโลเมตรแล้ว ไทยกับพม่ายังมีความผูกพันทั้งด้านการเมือง, ความมั่นคง, เศรษฐกิจ, สังคมและสาธารณสุขอย่างแนบแน่น
อีกทั้งผู้นำไทย, ข้าราชการ, นักธุรกิจ, นักวิชาการและประชาชนของทั้ง 2 ประเทศก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกว่าประเทศอื่นใด
ดังนั้นความทุกข์ยากและวุ่นวายของเมียนมาก็คือความทุกข์ยากและวุ่นวายของไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้
หากความรุนแรงในเมียนมาเพิ่มระดับขึ้น ผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมก็จะหนักหน่วงขึ้นทันที
ความวุ่นวายทางการเมืองในเมียนมาส่งผลให้ไทยต้องเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับผู้อพยพหนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมาก
สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยป้องกันชายแดนในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก เพื่อเตรียมตั้งรับสถานการณ์ที่อาจจะมีคนพม่าหนีความวุ่นวายทางการเมืองเข้าไทยผ่านจุดชายแดนต่างๆ
รายงานข่าวบอกว่า จังหวัดตากได้เตรียมพื้นที่รองรับผู้อพยพไว้ จำนวน 7 แห่งใน 4 อำเภอตลอดแนวชายแดน ได้แก่ อ.ท่าสองยาง อ.แม่ระมาด อ.พบพระ และ อ.แม่สอด
ถึงวันนี้มีผู้อพยพลี้ภัยการสู้รบชาวเมียนมาในหลายสิบปีที่ผ่านมาอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพในไทยหลายแสนคน
บางส่วนอพยพมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980 ด้วยซ้ำ
ผู้อพยพจำนวนหนึ่งเกิดในค่ายผู้อพยพ และไม่เคยอาศัยอยู่ในเมียนมาเลยก็มี
หากสถานการณ์ล่าสุดในเมียนมาไม่กระเตื้องขึ้นผ่านการเจรจาหาทางออกอย่างสร้างสรรค์และสันติ ความยุ่งยากตรงชายแดนของไทยเราก็จะยิ่งเพิ่มภาระหนักหน่วง
ไม่ต้องพูดถึงความเสี่ยงที่เพิ่มระดับ เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มาซ้ำเติมความหนักหน่วงของปัญหาทางการเมืองและความมั่นคงที่มีอยู่แล้ว
บทบาทของไทยที่จะเป็น “สะพานเชื่อมตรง” กับเมียนมาทั้งทางภูมิศาสตร์และรัฐศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ความสนิทสนมของผู้นำไทยกับผู้นำเมียนมา (ทั้งด้านกองทัพและกระทรวงต่างประเทศ) จะต้องถูกใช้ในทางสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาระดับสากล
ความใกล้ชิดของไทยกับเมียนมาทั้งกับฝ่ายก่อรัฐประหารและฝ่ายประชาธิปไตยที่มี อองซาน ซูจี เป็นผู้นำ จะต้องทำให้เกิดผลในแง่บวก
อย่าให้ประเทศอื่นมองว่าความใกล้ชิดระหว่างผู้นำไทยกับฝ่ายรัฐประหารกลายเป็น “ปัจจัยลบ” เพราะอาจจะมีความ “เห็นอกเห็นใจ” ระหว่างนายพลของ 2 ประเทศมากกว่าที่จะเป็นการใช้ความคุ้นเคยในการน้าวโน้มให้ฝ่ายทหารหยุดยั้งการกระทำที่ประชาคมโลกกำลังจับตาว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ความเสี่ยงของรัฐบาลไทยคือหากใช้ “ความคุ้นเคย” กับฝ่ายทหารและพลเรือนเมียนมา (ทั้งพลเอกมิน อ่องหล่าย และอองซาน ซูจี) ไปในทางที่ผิดก็จะทำให้ “จุดแข็ง” กลายเป็น “จุดอ่อน” ของไทยได้
ครั้งนี้จึงเป็นการพิสูจน์ความสามารถของ “การทูตไทย” ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
(พรุ่งนี้ : สายตรงกรุงเทพฯ-เนปิดอว์).
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |