11 มี.ค. 2564 นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจและตลาดเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 2.6% จากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะเติบโตที่ 2.2% เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ซึ่งรับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยข้อมูลล่าสุด พบว่า มูลค่าการส่งออกในช่วงเดือน ธ.ค. 2563 และ ม.ค. 2564 ปรับเพิ่มขึ้นมาเทียบเท่าในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 นับเป็นการฟื้นตัวที่เร็วกว่าที่เคยคาดไว้ ขณะที่ในระยะต่อไปมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว จากการเร่งฉีดวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ทำให้ SCB EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าส่งออกของไทยในปี 2564 เป็นขยายตัวที่ 6.4% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 4% ซึ่งช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ ม33 เรารักกัน นั้น สามารถช่วยพยุงให้กำลังซื้อสามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวที่มีวงเงินช่วยเหลือกว่า 2.5 แสนล้านบาท ครอบคลุมผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือกว่า 40 ล้านคน ถือเป็นเม็ดเงินขนาดใหญ่จะที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงนี้ได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากรายได้ของคนในประเทศที่ลดลง จากการทำงานที่ต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการบริโภคถูกกระทบมาก จนเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป ส่วนอัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากที่ 1.5%
“เศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดันจากภาคท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะมีเพียง 3.7 ล้านคนเท่านั้น เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อประเทศส่วนใหญ่มีภาวะภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว (Herd immunity) ซึ่งจะทำให้ประเทศเหล่านั้นเปิดประเทศต่อนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนแล้วทั้งขาเข้าและขาออกอย่างเสรีมากขึ้น โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีโอกาสได้รับภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ที่เร็วกว่าในช่วงไตรมาส 2/2564 และไตรมาส 3/2564 แต่ไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย จึงทำให้การท่องเที่ยวของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นช้า” นายยรรยง กล่าว
นายยรรยง กล่าวอีกว่า คาดว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2564 และต้นปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยจะทยอยมีภูมิคุ้มกันหมู่มากขึ้น
สำหรับงบประมาณของภาครัฐที่ยังเหลือเงินพยุงเศรษฐกิจได้เพิ่มเติมอีกราว 3.9 แสนล้านบาท จาก 2.5 แสนล้านบาทที่เหลือภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และจากงบกลางอีกราว 1.4 แสนล้านบาท คาดว่าจะยังมีการเบิกใช้ออกมาได้มากขึ้น ผ่านการลงทุนโครงการต่าง ๆ และการมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม เพื่อทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศมาชดเชยภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเร็ว
ด้านนโยบายการเงิน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตลอดปี 2564 รวมทั้งใช้มาตรการเฉพาะจุดร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงินและจัดสรรสภาพคล่อง รวมถึงสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการจัดการกับหนี้เสีย ภาวะการเงินโดยรวมของไทยยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลายจากการที่ธปท.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกระจายสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่ายการชำระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี ในส่วนของค่าเงินบาทในสิ้นปี 2564 คาดว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากสิ้นปี 2563 มาอยู่ในช่วง 30-31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเร็วกว่าประเทศอื่นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวที่ปรับเพิ่มขึ้นเร็ว ขณะที่การฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจของไทย และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ราว 1.9% ต่อจีดีพีในปีนี้ ช่วยลดแรงกดดันด้านการแข็งค่าของเงินบาทลงได้บ้าง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |