กรมอุทยานฯ แจ้งข้อหาเพิ่ม "มุกดาสวนเสือและฟาร์ม" จ.มุกดาหาร หลังตรวจดีเอ็นเอพบลูกเสือโคร่ง 6 ตัว ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อแม่ในฟาร์มตามที่สวนสัตว์แจ้งไว้ เล็งเพิกถอนใบอนุญาตสวนสัตว์ ดำเนินคดีต่อครอบครองสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต แจ้งความเท็จ
วันที่ 9 มี.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ พร้อมด้วยนายสมปอง ทองสีเข้ม ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ร่วมกันแถลงถึงกรณีคณะเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ นำโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) สำนักงานต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมายของประเทศไทย (GEF.6) ชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดด้านสัตว์ป่าและพืชป่า (ชุดเหยี่ยวดง) หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยพญาเสือ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าตรวจสอบสวนสัตว์มุกดาฯ ของนายสมดิษฐ์ ธรรมเวช ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสวนสัตว์ มุกดาสวนเสือและฟาร์ม ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหาร ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มายังกรมอุทยานฯ
นางรุ่งนภากล่าวว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ร่วมกับหน่วยพญาเสือ ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจมุกดาสวนเสือและฟาร์ม จ.มุกดาหาร ซึ่งจากการข่าวพบว่า สวนสัตว์แห่งนี้มีพฤติกรรมลักลอบค้าเสือโคร่ง โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.63 ได้เข้าตรวจเสือโคร่งของสวนสัตว์ เก็บตัวอย่างเลือดเสือโคร่ง 5 ตัว และซากเสือ 1 ตัวที่ตายลงเพื่อตรวจสอบดีเอ็นเอ ทั้งนี้ ผลตรวจจากศูนย์นิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 27 ม.ค.64 และศูนย์นิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ เมื่อ 2 ก.พ.64 พบว่าเสือโคร่งตัวผู้ชื่อข้าวเม่า และข้าวเปลือก ไม่มีความสัมพันธ์กับพ่อชื่อโดโด้ และแม่ชื่อมะเฟือง อีกทั้งไม่มีความสัมพันธ์กับเสือชื่อให้ลาภ และให้ทอง ตามที่สวนสัตว์เคยแจ้งไว้กับกรมอุทยานฯ และหลักฐานดังกล่าวนำมาซึ่งปฏิบัติการในการตรวจยึดสัตว์ป่าในสวนสัตว์แห่งนี้
ด้านนายสมปอง ทองสีเข้ม ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ กล่าวว่า ผลตรวจสอบดีเอ็นเอได้นำข้อมูลที่สวนเสือได้แจ้งเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2558 ว่าพ่อแม่ชื่อให้ลาภ และให้ทอง มีลูกเสือรวม 4 ตัว คือ ข้าวกล่ำ ข้าวเจ้า ข้าวยำ และข้าวเหนียว แจ้งเกิดวันที่ 12 ส.ค.58 แต่ปรากฏว่าวันที่ 12 ก.พ.2562 เสือชื่อข้าวเหนียวตายลง จากนั้นกรมอุทยานฯ เข้าตรวจสอบความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2563 แต่ผลดีเอ็นทั้ง 3 ตัวไม่มีความเป็นพ่อแม่ลูกกัน จึงเข้าตรวจยึดเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2563 และการพักใช้ใบอนุญาต
นายสมปองกล่าวต่อว่า กรมอุทยานฯ จะดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสวนสัตว์ของสวนสัตว์ดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 ซึ่งให้อำนาจหน้าที่กรมในการเพิกถอนได้ในกรณีที่ 1.ผู้ประกอบการถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงในการครอบครองสัตว์ป่า หรือในกรณีที่กรมอุทยานฯ มีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการสวนสัตว์ 2 ครั้งติดต่อกันภายใน 1 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ วันที่ 21 ม.ค. ทางกรมอุทยานฯ ได้ประกาศพักใบอนุญาตประกอบกิจการสวนสัตว์เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งครบกำหนดแล้ว เนื่องจากเสือโคร่ง 3 ตัว และซากเสือโคร่งอีก 1 คือลูกเสือโคร่ง ชื่อข้าวเหนียว ข้าวยำ ข้าวเจ้า ข้าวกล่ำ ที่ตรวจยึดเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2563 ไม่มีความสัมพันธ์กับพ่อแม่พันธุ์ที่สวนสัตว์กล่าวอ้าง จึงได้มีคำสั่งดังกล่าว และล่าสุดในวันนี้ (9 มี.ค.) พบความผิดในลักษณะเดียวกันของลูกเสือโคร่งอีก 2 ตัว ชื่อเข้าเม่า และข้าวเปลือก ดังนั้นทางกรมอุทยานฯ จึงจะออกคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการสวนสัตว์ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ระงับได้ไม่เกิน 90 วัน ขึ้นอยู่กับกรมกำหนดระยะเวลา เมื่อครบกำหนดแล้วทางกรมจะทำหนังสือแจ้งเพิกถอนการประกอบกิจการสวนสัตว์ตามมาตรา 78 พ.ร.บ.อุทยานฯ เป็นขั้นตอนต่อไป พร้อมทั้งดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับเสือโคร่ง 2 ตัวคือ ข้าวเม่า และข้าวเปลือก ได้นำไปเลี้ยงดูแลไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าจุฬาภรณ์ จ.ศรีสะเกษ ซากเสือโคร่ง "ข้าวเหนียว” ถูกเก็บรักษาโดยแช่ในฟอร์มาลินไว้ที่ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี)
สำหรับการเข้าตรวจสอบครั้งนี้ยังได้แจ้งผลตรวจดีเอ็นเอเสือโคร่งกับนายสมดิษฐ์ พร้อมจะเข้าแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 2 กรณีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 17 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ฐานผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 267 ฐานผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |