คนไทยจะมี ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ ได้เมื่อไหร่ อย่างไร?


เพิ่มเพื่อน    

          เมื่อเราเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือ คนไทยต้องได้รับวัคซีนกี่คน เราจึงจะมั่นใจได้ว่าจะ “ปลอด” จากการระบาดของโควิด-19?

                คำตอบอยู่ที่ความหมายของคำว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ Herd Immunity

                แล้ว “ภูมิคุ้มกันหมู่” คืออะไร?

                ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” คือ กลุ่มประชากรในประเทศมีจำนวนมากที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่อโคโรนาไวรัส ไม่ว่าจะมาจากการหายจากการติดเชื้อหรือจากการเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19

                แต่ไม่จำเป็นต้องแปลว่าทุกคนต้องฉีดวัคซีนหมด

                เพราะนายแพทย์ผู้รู้บอกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับการป้องกันจากการติดไวรัส แต่หมายถึงระดับภูมิคุ้มกันในประชากรที่มากพอที่จะทำให้โคโรนาไวรัสไม่มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดไปได้ง่ายอย่างที่เคยเป็นอีก

                อีกทั้งยังช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดได้ในวันข้างหน้า

                ตามหลักการแพทย์แล้ว ใครที่ได้รับเชื้อโควิดเข้าไป (หรือได้รับวัคซีนต้านโควิด) ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานไวรัสนี้ขึ้นมาโดยธรรมชาติ

                ผู้รู้เชื่อว่าจำนวนคนที่จะต้องมีระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อให้ทั้งประเทศปลอดภัยจากการระบาด ต้องอยู่ที่ระดับ 70% ของประชากร

                หรือไม่ก็มากกว่านั้นจึงจะเรียกว่าได้บรรลุเป้าหมายของการสร้าง ”ภูมิคุ้มกันหมู่” ได้แล้ว

                แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าไวรัสไม่ได้อยู่เฉยๆ มันสามารถจะเปลี่ยนแปลง พัฒนา และกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลา เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้น

                ข่าวที่ออกมาจากหลายประเทศบอกว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีความกังวล เพราะโควิด “กลายพันธุ์” ชนิดที่พบในอังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล กำลังท้าทายความรู้ความสามารถของหมอและนักวิจัยทั่วโลก

                มีคำถามอีกว่า จะคำนวณสัดส่วนประชากรที่ต้องได้รับภูมิคุ้มกันอย่างไร?

                ผู้รู้บอกว่า ไม่มีตัวเลขที่ตายตัวสำหรับสัดส่วนประชากรที่ต้องมีภูมิคุ้มกัน

                จึงไม่เป็นความจริงที่ว่า ถ้าอยู่ที่ 64.9% จะต่ำกว่ามาตรฐาน

                หรือถ้าอยู่ที่ 70.1% ถือว่าเป็นระดับที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นข่าวมาระยะหนึ่ง

                เอาเข้าจริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ขึ้นกับปัจจัยของแต่ละพื้นที่ ซึ่งแตกต่างกันอยู่แล้วเป็นธรรมดา

                ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถึงระดับภูมิคุ้มกันหมู่ที่เหมาะสมแล้ว?

                คนที่รู้เรื่องดีและได้ผ่านประสบการณ์มาพอสมควรบอกว่า ตัวบ่งชี้ว่าเรามาถึงจุดนั้นก็คือ เมื่อระดับการติดเชื้อโควิดรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

                อีกทั้งจำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 น้อยลงไปมาก

                แต่ก็ต้องแยกแยะวิเคราะห์ให้ถูก เพราะตัวเลขที่ว่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในแต่ละประเทศหรือเขตต่างๆ ของโลก

                มีการยกตัวอย่างของอินเดีย

                นักวิทยาศาสตร์ที่นั่นเชื่อว่า ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการป้องกันโควิด ควรเป็นผู้คนที่อาศัยหรือทำงานในเมืองใหญ่มากกว่าคนในพื้นที่ชนบท เพราะคนในเมืองอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดมากกว่า

                เพราะเขาเชื่อว่าไวรัสระบาดได้ง่ายและรวดเร็วในพื้นที่ประชากรหนาแน่น

                ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงต้องเร่งสืบหาตัวเลขที่แท้จริงของผู้ที่หายจากโควิด-19 จากประชาชนทั้งหมด 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ

                ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

                หากวัคซีนที่ใช้ฉีดได้ผลกับไวรัส สามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดได้ คนที่จะต้องเข้ารับวัคซีนโควิดก็จะน้อยลงไป

                เพราะการสร้างระดับภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศก็ง่ายขึ้น

                อีกคำถามหนึ่งคือ ไวรัสกลายพันธุ์มีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างไร? พูดง่ายๆ คือฉีดวัคซีนแล้ว ไวรัสเกิดกลายพันธุ์ จะมิต้องฉีดวัคซีนอีกประเภทหนึ่งใหม่หรือ?

                คำตอบของผู้เชี่ยวชาญคือ ถ้าวัคซีนหรือระดับภูมิต้านทานของผู้ที่เคยรับวัคซีนหรือติดเชื้อโควิดมาก่อนสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ โควิดกลายพันธุ์ก็เกือบจะไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด

                แต่หากวัคซีนที่มีอยู่ในตอนนี้ มีประสิทธิผลน้อยลงในการรับมือโควิดกลายพันธุ์ ผู้ผลิตวัคซีนต้องเร่งพัฒนาตัวยาที่มีประสิทธิผลในการต้านโควิดมากขึ้น

                อีกทั้งต้องแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนมากขึ้นและรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย

                ถือว่าเป็นการทำให้ทันก่อนที่ไวรัสกลายพันธุ์จะระบาดสู่คนในพื้นที่ได้มากขึ้น

                ถ้าจะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาก็จำเป็นต้องมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ทั่วโลก?

                ใช่ แต่บางประเทศอาจต้องรับมือกับโควิด-19 ยาวนานกว่าที่อื่นๆ ในโลก

                องค์การอนามัยโลกบอกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่อาจไม่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ทันในปี 2021 นี้ เพราะประเทศที่ร่ำรวยกักตุนวัคซีนที่จะผลิตได้ในปี 2021 ไปเกือบทั้งหมด และประเทศยากจนต้องรอคอยวัคซีนไปนานกว่าที่ควรจะเป็น

                นั่นแปลว่าการระบาดโควิดจะไม่สิ้นสุดลงไปทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะระดับการเข้ารับวัคซีนที่แตกต่างกันทั่วโลกนั่นเอง

                ดังนั้นแม้จะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะเริ่มมีการฉีดวัคซีนกันทั่วโลกแล้ว แต่ก็ยังต้องเก็บ “การ์ดสูง” ไว้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายอย่างชัดเจนในทุกส่วนของโลก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"