เงินทอนวัดค้าธรณีสงฆ์! เช่า3หมื่นปล่อยต่อ3แสน


เพิ่มเพื่อน    

 ยังไม่หมด! แกะเส้นทางเงินทอนวัด "ไมตรี"   ถือหมายศาลค้นบ้านย่านบางกรวย หลังพบรับโอนเงินจากพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม 5 ล้านบาท เจอเพิ่มกลายเป็นชุมนุมคนค้าธรณีสงฆ์ เปิดเป็นบริษัทเช่าที่ดินวัด เผยเอกสารเช่าเดือนละ 3 หมื่น ปล่อยร้านอาหารทัวร์จีนเช่าต่อเดือนละ 3 แสน 

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังพร้อมหมายศาล เข้าตรวจค้นบ้านพัก 2 ชั้น ในหมู่บ้านธรินภรณ์วิลล่า ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี หลังสืบสวนสอบสวนทราบว่าเป็นบ้านพักอาศัยของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินงบประมาณเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือเงินทอนวัด โดยพบเส้นทางการเงิน มีการรับโอนเงินจากเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งมายังบัญชี จำนวนเงิน 5 ล้านบาท ซึ่งผู้รับโอนมีความเลื่อมใสศรัทธาพระรูปนี้เป็นอย่างมาก และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง
        ผู้บังคับการกองปราบปรามเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พบว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ได้โอนให้วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครนำไปใช้ในโครงการสอนพระในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญฯ แต่กลับพบว่าถูกโอนมายังบัญชีของบุคคลที่พักอาศัยในบ้านหลังนี้ 
    "พบว่ามีการโอนจำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท อีกทั้งยังพบว่าบ้านหลังนี้ทำธุรกิจเปิดบริษัทเช่าที่ดินวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่พบเอกสารสัญญาการเช่าที่โดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือน เดือนละ 3 หมื่นบาท แต่ปรากฏว่าบริษัทได้ปล่อยเช่าช่วงต่อเปิดร้านอาหารให้กับทัวร์จีนเดือนละ 3 แสนบาท ซึ่งเงินส่วนต่างนี้จะมีการขยายผลต่อด้วยว่าเงินถูกนำไปโอนคืนให้กับทางวัดด้วยหรือไม่"
        พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวว่า จากการเข้าตรวจค้น เบื้องต้นพบเอกสารการโอนเงิน หนังสือสัญญาเช่าที่ดินวัด และเอกสารอื่นๆ หลายรายการที่ต้องนำไปตรวจสอบ แต่เบื้องต้นพระที่เกี่ยวข้องเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ ชุดสืบสวน กองปราบปรามยังกระจายกำลังเข้าตรวจค้นร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ในละแวกเดียวกัน ซึ่งเป็นธุรกิจของผู้ที่พักอาศัยในบ้านหลังนี้ เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมด้วย 
        ผู้บังคับการกองปราบปรามระบุว่า หลังจากนี้ ตำรวจจะมีการเชิญผู้พักอาศัยในบ้านหลังนี้ไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงการรับโอนเงิน รวมถึงการทำธุรกิจต่างๆ 
    ส่วนความคืบหน้าการเข้าตรวจค้นบ้านพักย่านรามคำแหงเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ร.ท.ฐิติทัศน์ นิพนธ์พิทยา เจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย  (ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย เบื้องต้นจะเข้าให้ปากคำเพื่อชี้แจงที่มาที่ไปของอาวุธปืนที่ตรวจยึดได้ ในวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม นี้ ที่กองบังคับการปราบปราม
    ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามเข้าตรวจค้นบ้าน ร.ท.ฐิติทัศน์ เพื่อหาความเชื่อมโยงคดีเงินทอนวัด แต่กลับพบอาวุธหลายขนาดกว่า 23 กระบอก และเครื่องกระสุนกว่า 1,000 นัดว่า อาวุธปืนทั้งหมดอยู่ระหว่างการส่งพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ส่งรายงานผลการตรวจอาวุธปืนทั้ง 23 กระบอก พบว่า ปืนขนาด .380 รูเกอร์, ปืนขนาด .45 จำนวน 3 กระบอก, ปืนขนาด 9 มม. จำนวน 4 กระบอก, ปืนขนาด .357 จำนวน 2 กระบอก รวม 10 กระบอก ผู้ครอบครองอาวุธปืนไม่ใช่ ร.ท.ฐิติทัศน์
    “เจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลต่อไปว่าอาวุธปืนจำนวนดังกล่าวได้มาอย่างไร ทำไมถึงมาอยู่ในความครอบครอง และเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มการครอบครองอาวุธปืนกับ ร.ท.ฐิติทัศน์ ที่ส่งหนังสือขอให้การกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามในวันที่ 21 พ.ค.นี้” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว 
    ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบัญชาการกองทัพไทยว่า  เมื่อ 18 พ.ค. พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ รอง ผบ.ทหารสูงสุด ทำการแทน ผบ.ทหารสูงสุด ได้ลงนามในคำสั่ง กองบัญชาการกองทัพไทย ที่ 208/2561 สำรองราชการ ร.ท.ฐิติทัศน์ ซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวพันกับคดีเงินทอนวัด ทั้งนี้ หากภายใน 15 วัน ร.ท.ฐิติทัศน์ไม่มารายงานตัว ก็จะถูกปลดออกจากราชการทันที  
    ทั้งนี้ หลังจากที่ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเป็นการเร่งด่วน และคณะกรรมการฯ ได้พยายามติดตามตัว ร.ท.ฐิติทัศน์มาสอบสวน แต่ไม่สามารถติดต่อได้
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบประวัติการเข้ารับราชการของ ร.ท.ฐิติทัศน์ พบว่าได้ใช้วุฒิปริญญามหาบัณฑิตนิเทศศาสตร์ สื่อสาร การท่องเที่ยวและบันเทิง มหาวิทยาลัยเกริก เข้ามารับราชการทหารประจำ ศรภ. เมื่อวันที่  9 ก.พ.2559 ในยุคที่ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
    หลังจากนั้นได้ถูกส่งตัวมาช่วยราชการที่สำนักงานของ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี เสนาธิการทหาร ที่ในขณะนั้นเป็นรองเสนาธิการทหาร แต่ปรากฏว่า ร.ท.ฐิติทัศน์ไม่เคยมาทำงานที่สำนักงานรองเสธ.ทหาร มีแต่ชื่อขอฝากเอาไว้เท่านั้น เพราะถูกขอตัวไปช่วยราชการที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อไปดูแลนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง. ตั้งแต่ปี 2559
    ทั้งนี้ ตามระเบียบทางราชการ ผู้ว่าฯ สตง.สามารถร้องขอนายทหารไปติดตามดูแลได้ เพราะการทำหน้าที่ของผู้ว่าฯ สตง.ในเรื่องการตรวจสอบต่างๆ อาจมีอันตราย ซึ่ง ศรภ.มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งนายทหารไปดูแลรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญตามคำร้องขอ
    อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนฯ ปรากฏว่าไม่พบว่ามีหนังสือขอตัวไปช่วยราชการที่ สตง. ของ ร.ท.ฐิติทัศน์ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด แต่ทว่าเป็นที่รับรู้กันภายในว่า ร.ท.ฐิติทัศน์ไปติดตามนายพิศิษฐ์ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นบ้านพักและพบอาวุธปืนจำนวนมาก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"