คลังการันตีหนี้ประเทศยังไม่น่าห่วงแม้รัฐบาลกู้สู้สงครามโควิดเต็มพิกัด


เพิ่มเพื่อน    

8 มี.ค.2564 นางแพตริเซีย มงคลวณิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ยืนยันว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.9% ต่อจีดีพี ยังไม่ทะลุเพดาน โดยยังอยู่ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดเพดานหนี้สาธารณะไว้ที่ระดับ 60% ต่อจีดีพี แม้ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อมาดูแล เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศไต่ขึ้นไปใกล้เพดาน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง

เพราะเมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่าหนี้สาธารณะในส่วนที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหมด คิดเป็น 77% พอร์ตหนี้สาธารณะทั้งหมด และ 73% จากจำนวนหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง เป็นการกู้เพื่อมาลงทุนพัฒนาประเทศ ส่วนอื่นเป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่จะใช้รายได้ของตัวเองในการชำระหนี้ และหนี้ของหน่วยงานอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องดูแลจริง ๆ เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ คือ 6.3 ล้านล้านบาท จากสัดส่วนหนี้สาธารณะทั้งหมดที่8.1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากแนวโน้มการก่อหนี้ของทุกประเทศทั่วโลก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า ทุกประเทศมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเยอะมาก ดังนั้นระดับหนี้สาธารณะทั่วโลกจึงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศในภูมิภาคเอเชีย ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 67% ต่อจีดีพี จากปีก่อน ๆ อยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศไทย มีการประเมินว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 56% ต่อจีดีพี ยังไม่ถึง 60% ต่อจีดีพี

“ทุกคนอาจจะมองว่าหนี้สาธารณะของไทยเยอะ แต่อยากยืนยันว่าหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลบริหารหนี้อย่างรอบคอบ และมีวินัยสูงมาก สิ่งที่อยากให้ประชาชนมั่นใจคือ สบน. จะทำหน้าที่ให้รัฐบาลอย่างครบถ้วน คือ การหาเงินให้รัฐบาลให้ครบ ในระดับต้นทุนที่เหมาะสม และต้องมีการกระจายความเสี่ยง ไม่อยู่ในเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมากเกินไป และที่สำคัญคือ จะไม่ไปแย่งเงินกับเอกชน เพราะรัฐบาลกู้เยอะมาก หากเอกชนไม่มีเงินไปลงทุนต่อตรงนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ สบน.ดูเรื่องทั้งหมดนี้อย่างละเอียด” นางแพตริเซีย กล่าว

นอกจากนี้ ในภาวะเศรษฐกิจปกติ เงินกู้ของรัฐบาลถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยทุกบาททุกสตางค์ที่กู้และผลักดันเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็เพื่อปากท้องของประชาชน ยิ่งผลักดันลงไปได้เยอะ เงินก็จะมีรอบหมุนวิ่งในระบบเศรษฐกิจเยอะ เมื่อเศรษฐกิจเดินหน้าได้ดีทุกคนก็จะมีรายได้มาชำระภาษี สุดท้ายเงินก็จะกลับมา และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลง แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และรายได้ลดลง ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีให้ลดลงไปด้วย เพราะมีการเลื่อนการชำระภาษีทั้งหมดออกไป ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล ทำให้รายได้เข้ามาไม่ทัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการกู้เงินและใช้เงินกู้ออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อน

จึงเป็นเครื่องสะท้อนว่าเงินกู้จะเข้ามามีบทบาท และเป็นพระเอกกับเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะเงินที่กู้มารัฐบาลได้นำมาใช้เพ่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นต่างเกือบทั้งหมดของประเทศ และใช้ในการฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจ ดังนั้นมาตรการทางการคลังจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้

นางแพตริเซีย กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทุกปีสำนักงบประมาณจะมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีเครดิตดี ทุกคนยังให้ไทยกู้เงินได้ และไทยก็มีช่องทางที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่การจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ถูกปรับลดเครดิต อาจจะมีการปรับมุมมองจากที่เคยเป็นบวก มาอยู่ที่คงที่ เนื่องจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือส่วนใหญ่มองว่าไทยบริหารจัดการด้านการคลังได้ดีและแข็งแกร่ง เพราะรัฐบาลบริหารอย่างรอบคอบและมีวินัยมาก ๆ และรัฐบาลก่อหนี้สาธารณะอย่างอย่างอนุรักษ์นิยม รอบคอบ และมีวินัยมาก ๆ ไม่ได้ปั๊มเงิน และจะไม่ทำ


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"