“ธุรกิจสายกรีน”สู่ความยั่งยืน


เพิ่มเพื่อน    

     เทรนด์เรื่องการ “รักษ์โลก-รักษ์สิ่งแวดล้อม” กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ สังเกตว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชน ส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจและใส่ใจกับกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเป็นลำดับ โดย “Krongthai COMPASS” ได้เคยออกบทวิเคราะห์เรื่อง “จับตากระแสโลก หนุนธุรกิจสายกรีนและนวัตกรรมยั่งยืน” สืบเนื่องจากบททดสอบราคาแพงจากวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ได้ปลุกกระแสความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น

                โดยในช่วงปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกอาจจะยังไม่มีความพร้อมที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ขนาดใหญ่ในรูปแบบอื่น หากปราศจากการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม ทั้งนี้จากรายงานความเสี่ยงโลกปี 2021 ของ World Economic Forum พบว่า ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงระดับโลกที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นสูงสุดในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากทั่วโลกไม่ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกจนนำไปสู่ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างรุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน

                ทั้งนี้ “Krungthai COMPASS” ประเมินว่ามี 3 กระแสความเปลี่ยนแปลงสำคัญในระดับโลกที่จะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยต้องหันมาดำเนินรูปแบบธุรกิจที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกดดันทางการค้าจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่จะเข้มงวดมากขึ้น และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในตลาดการค้าโลก ได้แก่ 1.การยกระดับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและธุรกิจ โดยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับที่ท้าทายมากขึ้น

                2.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัสดุเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขัน และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3.ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัลเป็นปัจจัยเอื้อสำคัญที่จะพลิกโฉมธุรกิจและช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                สำหรับประเทศไทยนั้น การปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจบนฐานโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับตัวของภาคธุรกิจและยังช่วยตอบโจทย์การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เช่นกัน โดย “Krungthai COMPASS” ประเมินว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในสาขายุทธศาสตร์ สำคัญตามกรอบ BCG อาจมีความจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

                โดยกลุ่มธุรกิจใน 5 สาขาอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่  เกษตรกรรมและอาหาร พลังงานและไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์พลาสติก สุขภาพและการแพทย์ ควรปรับแผนธุรกิจและปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การค้าโลกที่คาดว่าจะมีข้อบังคับและมาตรการกีดกันด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

                ทั้งนี้ “Krungthai COMPASS” มองว่ามาตรการด้าน สิ่งแวดล้อมของต่างประเทศที่ยึดหลักของ Border Carbon Adjustment จะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจหันมาใส่ใจในมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อต้นทุนการค้าและส่วนแบ่งตลาดการค้าโลกในระยะข้างหน้า

            อย่างไรก็ดี โควิด-19 เป็นประเด็นความท้าทายสำคัญที่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและศักยภาพของภาคธุรกิจในการรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง (Shock) อีกทั้งโควิด-19 จะเป็นบทเรียนราคาแพง และเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ภาคธุรกิจควรกลับมาทบทวนรูปแบบธุรกิจใหม่ พร้อมทั้งปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งและพร้อมรับมือกับ Shock และ Disruption ด้านอื่น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะส่งผล กระทบอย่างรุนแรงทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม.

ครองขวัญ รอดหมวน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"