จบเนียนๆ! "ผบ.ตร." จัดแถลงผลสอบคดีไอซ์ 1.5 ตัน ไม่พบตำรวจเกี่ยวข้อง แค่เอกสารหลุดไปชิ้นเดียว ไม่ใช่ทั้งหมด จึงมีการตั้งคำถาม ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เผย พล.ต.อ.-พล.ต.ท. พูดคุยกันดี ยันองค์กรไม่มีคลื่นใต้น้ำ
วันที่ 5 มีนาคม 2564 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.), พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.), พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบช.ภ.6), พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบก.สส.ภ.6) และ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. แถลงผลการดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการสืบสวนคดียาเสพติดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 และมีเอกสารราชการบางส่วนหลุดออกไปเผยแพร่ทางสื่อ ขอเรียนว่าเอกสารเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวน หากเทียบแล้วถือว่าเป็นจำนวนน้อย กลายเป็นว่าข้อเท็จจริงบางส่วนที่หลุดออกไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นทั้งหมด จึงเกิดการตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่ สิ่งเหล่านี้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ผบ.ตร.เผยว่า เอกสารที่หลุดไปคือชิ้นเดียว ลองอ่านดูที่กล่าวถึง พล.ต.ท. เขาเขียนว่าอย่างไร เขาถามว่ารูปที่พนักงานสอบสวนให้ดูท่านเคยเห็นไหม เขาก็บอกว่าไปเห็นมาที่เมียวดี แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามาทำอะไร มาหาใคร เจอใคร อะไรอย่างไรไม่มีเลย มีแค่นี้ สมมติว่าเราจับใครมา แล้วเขาบอกว่าคนนี้มาไถเงิน แล้วไม่ให้ เราจะจับตำรวจมาสอบไหม จะต้องดูอย่างนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะฟังอะไรเราต้องชั่งน้ำหนักว่าวันเวลาที่พูดเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้มีระบุ เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำไปตามข้อเท็จจริงที่พูดถึง ทางตำรวจภูธรภาค 6 ก็ได้ดำเนินการไป ไม่จบแค่นี้ ของศูนย์ปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจยาเสพติดก็ทำ ทีมงาน พล.ต.อ.สุชาติก็ทำทั้งหมด
“ที่ทาง พ.ต.อ.สราวุธกล่าวถึงเงิน 2,000 กว่าล้านบาท ก็จะต้องมาไล่ดูว่าไปถึงใครอีก เบื้องต้นยังไม่เจอชนกับใคร โดยเฉพาะคนที่ถูกพาดพิง คือถ้ามันมีพยานหลักฐาน ขนาดเอกสารยังรั่วมาได้ แล้วถ้ามันมีมันจะไม่รั่วหรือ ถ้ามีก็ต้องออกสื่อแล้ว ผมถามลอจิกง่ายๆ ถ้ามีก็ต้องออกสื่อ แล้วจะไปอยู่ตรงไหน ปัญหาคือมีหรือไม่ ทำอะไรก็ต้องชั่งน้ำหนัก เราไม่ได้คิดว่าคนนี้จะพิเศษกว่าคนนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่อะไรที่มันเบลอ ที่ไม่ชัดเจน ก็ถูกหยิบไปเป็นประโยชน์ ถูกหยิบไปบ่อนทำลายความเชื่อถือ สิ่งที่อันตรายคือเรื่องนี้ เรื่องการบ่อนทำลาย ทำลายองค์กรไม่ได้ ทำลายคนก็ได้ ผมเรียนว่าจะผิดจะถูกไม่มีใครช่วยใครได้ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครมาปิดอะไร ไม่มีใครปิดเรื่องแบบนี้ ไม่มีทาง ท่านรู้ดีท่านเป็นสื่อ ถ้ามีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันท่านได้ก่อนพวกผมอีก เพราะบางเรื่องผมยังรู้หลังท่านเลย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจ 2 นายที่ถูกพาดพิงถึงเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้อย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ตอบว่า ก็ต้องไปดูว่าบรรยากาศในการพูดคุยวันนั้นเป็นอย่างไร อย่างรองต๊ะก็พูดว่าเขารู้จัก เพราะคนทำบ่อนตรงนั้น พูดแบบชาวบ้าน ก็คงต้องรู้จักกัน แล้วรู้จักกันแบบไหน เห็นให้เงินให้ทองกันอะไรอย่างไร ก็มีเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 อีกคนหนึ่ง พร้อมเบอร์โทรศัพท์เป็นคนเดินเคลียร์ตำรวจ ทางภาค 6 ก็ดำเนินการไปแล้วเรื่องพวกนี้ ซึ่งต้องดูวันนั้นว่าอารมณ์ไปอย่างไรถึงมาถึงตรงนี้ได้ เมื่อพาดพิงถึงด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องตรวจสอบ ไม่ใช่จะไม่ทำ เมื่อเขาพูดมาขนาดนี้ก็ต้องตรวจสอบ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาแล้วก็มีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบ
ถามอีกว่า มองอย่างไรที่มีเอกสารหลุดออกมา ใครจะได้ประโยชน์ พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ท่านต้องตัดสินเอง แต่ตนมองผลกระทบที่เกิดความเสียหายมันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ ตนย้ำอีกครั้งอะไรที่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ผิดรู้ถูก มันจะเสียหาย หน้าที่เราคือทำให้มันชัดเจน เพราะเรื่องนี้จะถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดเวลา เอาเรื่องนี้ไปพูดได้อีก 500 ปี ถ้ายังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นจะต้องทำให้ชัดเจนให้ได้ อะไรที่ยังทำไม่เสร็จต้องไปทำ ประเด็นไหนที่มีข้อสงสัยต้องเคลียร์ วันนี้เห็นว่ามีความคืบหน้าพอสมควรจึงมาเล่าให้ฟัง ยังไม่จบ
ถามต่อว่า เอกสารที่หลุดออกมาถูกมองในมิติว่าอาจมีความขัดแย้งภายในองค์กรหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ตนไม่ได้มองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง แต่มองว่าเราอยู่บนพื้นที่ที่ทำงานร่วมกัน แต่ใครหยิบไปใช้ประโยชน์แบบไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตนไม่คิดว่ามีความขัดแย้ง เพราะถึงวันนี้ทุกคนที่ร่วมมีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวนก็ยังคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตลอด เพื่อทำให้เรื่องนี้มีความชัดเจน เพราะทุกคนก็อยากรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เราพยายามทำให้มันชัดเจน เรื่องงานสืบสวนก็เรียนไปแล้ว ทางพล.ต.อ.สุชาติเป็นเพื่อนตน มีอะไรไม่ใช่เฉพาะงานนี้งานเดียวก็คุยกัน มีอะไรก็มาเล่าให้ฟัง และได้บอกด้วยว่าได้สั่งการภาค 6 ไปว่าอย่างไร แล้วหลังจากนั้นไปทำอะไรได้มาเพิ่ม ก็จะมาเล่าให้ฟัง การสืบสวนก็ทำมาตลอด ในขณะที่ท่านทำอยู่พนักงานสอบสวนก็ทำของเขาด้วย แต่พอมีเอกสารหลุดไป มีการสอบถามถึงประเด็นของนายเกิดชนะว่าภาค 6 ได้ทำหรือไม่ ซึ่งภาค 6 ก็ตอบไปแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง ทีมงานทุกทีมไม่เคยหยุดทำกันมาตลอด ส่วนกรณีเอกสารหลุด ก็ได้ให้จเรตำรวจลงไปตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งมีการดำเนินการไปแล้ว ส่วนคลื่นใต้น้ำคืออะไรตนไม่ทราบ คงไม่มี
ถามอีกว่า หลังจากที่มีประเด็นทาง ผบ.ตร.ได้เชิญ พล.ต.ท.ที่ถูกพูดถึงกับ พล.ต.อ.สุชาติมาพูดคุยหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ตนก็เห็น 2 คนท่านคุยกันดี ไม่เห็นมีอะไร เจอกันก็เห็นคุยกันดี
ด้าน พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวอธิบายเส้นทางเครือข่ายยาเสพติดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ 2557-2563 โดยปี 2557 ตำรวจจับกุมนายฐปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา หรือหนูเฉิน พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงินทั้งสิ้น 56 หมาย ระหว่างการดำเนินคดี นายฐปนันท์หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์
ต่อมา 18 ตุลาคม 2562 ที่ด่านห้วยยะอุ จับกุมรถบรรทุก พร้อมไอซ์ 1.5 ตัน วันดังกล่าวจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 รายคือ นายสมโชค เนียมสกุล อายุ 38 ปี เป็นคนขับ และนายสกล การุณรักษ์ อายุ 34 ปี นั่งคู่มาข้างคนขับ โดยทั้งคู่ให้การซัดทอดไปถึงผู้เกี่ยวข้องในขบวนการอีก 8 ราย โดยตำรวจได้ออกหมายจับไว้ และตามจับกุมได้ 6 ราย มีผู้หลบหนี 2 รายคือ นายเกิดชนะ มีนา และนายยงค์ วงศ์สว่างกุล
22 กรกฎาคม 2563 บช.ปส. และ ป.ป.ส. ขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุกที่ใช้ขนถ่ายยาเสพติดในคดีไอซ์ 1.5 ตัน แต่แยกดำเนินคดีอีกสำนวน กระทั่ง 23 ตุลาคม 2563 ตำรวจสามารถตามจับกุมนายเกิดชนะได้ ดำเนินการสอบปากคำ และส่งตัวให้อัยการ จุดนี้นายเกิดชนะให้การพาดพิงถึงพลเรือน 4 ราย และข้าราชการ 4 ราย ทีมสืบสวนจึงนำข้อมูลทั้งหมดประกอบสำนวน นอกจากนี้ยังพบข้อเท็จจริงบางอย่าง จนขยายผลดำเนินคดี น.ส.หลิน-ชาล์ คนจัดการเงิน และนายฐปนันท์ พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์เมื่อปี 2557 จึงแยกดำเนินคดีอีกสำนวน ในข้อหาสมคบ (ม.8 วรรคแรก) และจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ ได้เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 พร้อมอายัดเงินสดได้กว่า 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนอื่นๆ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขยายผลต่อไป
พ.ต.อ.สราวุธกล่าวอีกว่า สำหรับการจับกุมนายสมโชคและนายสกล พร้อมพวกอีก 6 ราย ในคดีไอซ์ 1.5 ตัน ศาลตัดสินเมื่อ 24 กันยายน 2563 ผลตัดสินมีทั้งจำคุกตลอดชีวิต จำคุก 33 ปี และยกฟ้อง 3 ราย ส่วนกรณีการจับกุมเจ้าของอู่ต่อรถ สำนวนอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล และกรณีการจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ พนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ได้ส่งสำนวนให้อัยการเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2564.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |