ป.ป.ช.ขู่คุก‘เปรต’อมเงินวัด


เพิ่มเพื่อน    

 

"ประวิตร" ลั่นไม่ป้อง "ร.ท." เอี่ยวเงินทอนวัด ยันทุกอย่างว่าไปตามหลักฐาน "รอง ผบ.ทสส." เซ็นเด้ง "ฐิติทัศน์" พ้นตำแหน่งพร้อมตั้งกรรมการสอบสวน "ศรีวราห์" ส่งปืน 23 กระบอกตรวจพิสูจน์ "ปธ.ป.ป.ช." แย้ม "บิ๊ก ขรก." โกงเงินทอน ส่อติดคุกหัวโต "หลวงปู่" ลากไส้แก๊งอลัชชี ระบุนี่แค่น้ำจิ้ม

    เมื่อวันที่ 18 พ.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม(รมว.กลาโหม) กล่าวถึงกรณีกองปราบปรามตรวจสอบพบ ร.ท.ฐิติทัศน์ นิพนธ์พิทยา ทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย พัวพันคดีทุจริตเงินทอนวัดว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นพบมีความเกี่ยวข้อง 
    "ไม่เป็นไร ทุกอย่างว่าไปตามพยานหลักฐาน ไม่ต้องห่วง ใครทำผิดว่าไปตามผิด" พล.อ.ประวิตรกล่าว
    มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.ทสส.) ลงนามคำสั่งกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ 300/61 เรื่องให้ ร.ต.ฐิติทัศน์ นิพนธ์พิทยา นายทหารประจำ ศรภ. พ้นช่วยปฏิบัติราชการ สน.เสธ.ทหาร ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.2561 เป็นต้นไป 
    ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมาจาก น.ส.นุชรา สิทธินอก อายุ 32 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้นตลาดสี่มุมเมือง และเป็นแม่บ้านของ ร.ท.ฐิติทัศน์ ถูกตรวจสอบพบเป็นผู้รับโอนเงินจากพระชั้นผู้ใหญ่จำนวน 25 ล้านบาท 
    มีรายงานด้วยว่า พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของ ร.ท.ฐิติทัศน์ โดยมอบหมายให้พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา เจ้ากรมกำลังพลทหาร เป็นประธานกรรมการสอบสอบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการมีอำนาจ 2 ข้อ คือ 1.ทำการสอบสวนข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากส่วนราชการหรือบุคคลใด ตลอดจนเรียกบุคคลใดมาชี้แจง หรือให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สอบสวน รวมทั้งให้ส่วนราชการใน บก.ทท. ให้การสนับสนุนตามที่คณะกรรมการร้องขอ 2. สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของการตรวจค้นและพฤติกรรมของข้าราชการดังกล่าว ถือว่าเป็นความผิดวินัยหรือวินัยร้ายแรงหรือไม่ อย่างไร พร้อมข้อเสนอแนะให้ ผบ.ทสส. ทราบโดยด่วน 
    วันเดียวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปตรวจสอบสำนวนคดีการตรวจค้นบ้าน ร.ท.ฐิติทัศน์ และพบอาวุธปืน 23 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนกว่า 1,000 นัด ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)
    พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า เบื้องต้นอยู่ระหว่างการติดต่อต้นสังกัดของ ร.ท.ฐิติทัศน์ และล่าสุดทราบว่าได้ส่งหนังสือแจ้งมายังพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อเข้าให้ปากคำในวันจันทร์ที่ 21 พ.ค.นี้
หลักฐานมัด'ร.ท.'
    รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ในส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนทั้งหมด เมื่อช่วงเช้าเจ้าหน้าที่นำส่งตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐาน ต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะการตรวจพิสูจน์ตัวเลขปืนมีรอยตอก หรือจดทะเบียนในนามใครบ้าง ต้องใช้เวลา ส่วนแม่บ้านที่บ้าน ร.ท.ฐิติทัศน์ เจ้าหน้าที่ได้สอบไว้เป็นพยาน เมื่อสอบเสร็จก็ปล่อยตัวกลับ ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัว
    ถามว่า เงินจำนวน 25 ล้านบาทเชื่อมโยงกับ ร.ท.ฐิติทัศน์หรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ก็อยู่ในบ้านเขาอาวุธปืนและคนที่เชื่อมโยงทางการเงินก็อยู่ในบ้านเขา ก็ต้องเชื่อมโยงกัน แต่ที่ตนมากำกับดูแลคดีนี้ไม่ได้มาเรื่องเงินทอนวัด มาเรื่องอาวุธปืน มาเรื่องความมั่นคง เพราะมีกระสุนขนาดต่างๆ เป็นพันนัด ซึ่งปกติบุคคลธรรมดาไม่มีเหตุจะต้องมีจำนวนมากขนาดนั้น ยกเว้นมีไว้เพื่อก่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง 
    ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีเงินทอนวัดว่า ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนไปทั้งหมด 13 สำนวน จำนวน 13 วัด ซึ่งเป็นการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในการทุจริตเงินในวัดต่างๆ ซึ่งเชื่อว่า ป.ป.ช.สามารถทำได้รวดเร็ว เพราะกระบวนการในเชิงบริหารจัดการนั้น ป.ป.ช.มีข้อมูลหมดแล้ว จะได้นำมาไต่สวนโดยใช้พยานหลักฐานร่วมกันได้ 
    พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบสำนวนยืนยันแล้วว่าจะสามารถวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสรุปสำนวนเสนอให้กรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา โดยทั้ง 13 สำนวน ต่างกรรมต่างวาระกัน ต้องแล้วแต่การแยกสำนวนและบริหารจัดการคดี 
    "คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติแล้วว่า พยานหลักฐานใดที่ใช้ร่วมได้ให้นำมาใช้ได้ในสำนวนอื่นๆ เช่นกัน ดังนั้น จะทำให้สิ้นเปลืองระยะเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานได้น้อยลง" พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว
    ถามถึงกรณีเจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับผู้ต้องสงสัยที่มี ร.ท.ได้เพิ่ม และขณะเดียวกันต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบข้อเท็จจริง ทาง ป.ป.ช.จะเอาเรื่องดังกล่าวมาร่วมพิจารณาได้หรือไม่ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า จากที่ปรากฏเป็นข่าว เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต้องเข้าไปดูว่าเมื่อมีหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบ ในแต่ละการตรวจสอบ ถ้าอยู่ในอำนาจกฎหมาย ป.ป.ช. ต้องให้หน่วยงานนั้นส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช.พิจารณาอยู่ดี
    "ในเมื่อตอนนี้หน่วยงานเขาทำอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ของเราต้องไปติดตาม แต่เราจะไม่ลงไปแล้วทำให้เกิดความซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบชัดเจน ที่จะระบุว่าเมื่อถึงเวลาแล้วคดีจะมารวมที่ ป.ป.ช.อย่างไร" ประธาน ป.ป.ช.กล่าว
    พล.ต.อ.วัชรพลยอมรับว่า เมื่อทุกหน่วยงานช่วยกันสอดส่อง ช่วยกันตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ดี ตนมั่นใจว่าคดีเงินทอนวัดจะพิจารณาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้า เรื่องนี้จะเร็วมาก ถึงแม้ว่ากรรมการ ป.ป.ช.จะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในบางสำนวน แต่จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าภายในปีงบประมาณนี้ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่เดือน เรื่องนี้จะมีความชัดเจนขึ้น
โกงเงินวัดคุกหัวโต
    ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า ใน 13 สำนวนดังกล่าว มีชื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ซ้ำๆ กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะในตำแหน่งข้าราชการระดับสูง เช่น อดีต ผอ.พศ. และรอง ผอ.พศ. มีชื่อซ้ำกันบ้าง แต่ในการพิจารณาจะพิจารณาต่างกรรมต่างวาระไป แต่ละสำนวนไป ในขณะที่ศาลพิจารณาลงโทษจะพิจารณาเป็นรายกระทงไปเช่นกัน ซึ่งโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 50 ปี ในแต่ละคดี หากถูกนำแต่ละสำนวนมารวมกัน โทษอาจจะสูงสุดถึง 200 ปีได้ ดังนั้นถ้าบางคนถูกลงโทษแต่ละสำนวนจะถูกนำมารวมๆ กัน เหมือนในคดีอื่นๆ 
    "แม้จะมีหลายคดีในการพิจารณาไปพร้อมกันเช่นนี้ แต่เมื่อพิจารณาคดีหลักได้ก่อนแล้ว คดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะง่าย ระยะเวลาในการพิจารณาจะลดลง เพราะไม่เสียเวลาในการสอบพยาน หาข้อมูลหลักฐาน บางสำนวน ป.ป.ช.ยังสามารถพิจารณาในกรณีร่ำรวยผิดปกติได้อีกด้วย เพื่อพิจารณาว่าทำอย่างไรจะได้ทรัพย์สินของรัฐคืน เพื่อให้เขารู้ว่าโกงวัดไปไม่ได้เงิน และจะยึดทรัพย์ตามมูลค่า ถ้าโกงไป 10 ล้านบาท ในคำพิพากษาจะให้ติดตามทรัพย์สินอื่นในมูลค่าเดียวกันกลับมาชดใช้ต่อรัฐ แต่ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปต่างประเทศ ตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช.เขาต้องหนีตลอดชีวิต อีกทั้งยังสามารถพิจารณาสอบพยานลับหลังได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าหนีต้องหนีตลอดชีวิต" ประธาน ป.ป.ช.กล่าว
    ขณะที่พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องข่าวกองปราบฯ บุกค้นบ้านนายทหารลูกศิษย์วัดดังที่มีภูเขาทองใหญ่ด้วย ซึ่งตั้งอยู่แถวหลังป้อมมหากาฬ กรุงเทพฯ นั่นก็คือวัดสระเกศเจ้าเก่าของเรานั่นเอง เป็นเจ้าเก่าที่สะสมของเน่าเอาไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    "ที่พิเศษคือนายทหารคนนี้เคยเป็นเลขาฯ ของอดีตผู้ว่าฯ สตง. เสียด้วย มิน่าเล่า เราจึงเห็นภาพนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ออกเดินสายให้สัมภาษณ์ปกป้องเจ้าอาวาสวัดสระเกศอย่างแข็งขัน การรุกเข้าตรวจค้นครั้งนี้ เจอทั้งเงิน ทั้งทอง เพชรนิลจินดาในตู้เซฟ 2 ตู้ แถมด้วยอาวุธปืนอีกไม่ต่ำกว่า 20 กระบอก ข่าวแววมาว่ามีการโอนเงินจากพระระดับเจ้าอาวาส ไปให้สีกาเป็นระยะๆ แต่ที่มากที่สุดคือตัวเลข 25 ล้านบาท เงินที่โอนให้ไปอยู่ในบัญชีสีกา ซึ่งมีทั้งตัวปลอมและตัวจริง สีกาตัวปลอมคือแม่ค้าขายลูกชิ้นปิ้ง และเมื่อตรวจสอบลึกๆ แล้ว เงินที่โอนทั้งหมดถูกโยกย้ายถ่ายโอนไปให้สีกาคนสนิทของเจ้าอาวาส"
    หลวงปู่พุทธะอิสระระบุว่า ข้อมูลที่พุทธะอิสระเคยโพนทะนาว่า สีกาคนนี้มีสถานะที่ไม่ธรรมดา ประมาณว่า เป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัด และของเจ้าอาวาสแทบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่อาหารการกิน ที่หลับที่นอน อีกทั้งเจ้าอาวาสวัดนี้กระเตงสีกาผู้อวบขาวไปออกงานเกือบทุกงานทั้งในและต่างประเทศ ตอนนั้นมีบรรดากองเชียร์ของอลัชชีทั้งพระทั้งฆราวาส ในประเทศนอกประเทศ ถึงกับเข้ามารุมถล่มพุทธะอิสระกันแบบให้จมธรณีก็ว่าได้ แถมนักบวชที่ชอบนั่งเทียน เขียนบทความที่อยู่ต่างประเทศยังพยายามเขียนด่ากระแนะกระแหนว่า พุทธะอิสระให้ร้ายเจ้านายเขา 
    "ความจริงก็คือความจริง ไม่ว่าจะช้าเร็ว ความเน่าในก็ต้องระเบิดออกมาจนได้ แล้วทีนี้พวกที่เข้ามารุมถล่มพุทธะอิสระ จะแก้ตัวอย่างไร หรือจะพยายามบิดเบือน แถกแถให้กลายเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และยัดข้อหาว่าเป็นความพยายามใส่ร้ายของฝ่ายการเมืองที่จะกำจัดเครือข่ายลัทธิจานบิน หรือกำจัดมหานิกาย ซึ่งพวกชอบแถดแถ พวกนี้เขาถนัดอยู่แล้วในการสร้างเรื่องเท็จ ยัง ยังไม่หมดดอก  ไอ้ที่เห็นๆ กันอยู่นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม" หลวงปู่พุทธะอิสระระบุ. 
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"