จัดหนัก‘พท.-ม็อบ’ ฟ้อง4ข้อหา8แกนนำ/เตือนแดงฮาร์ดคอร์อย่าแหลม


เพิ่มเพื่อน    

 

  4 ปี คสช.พ่นพิษ "ประยุทธ์" ฉุนถูกเฉ่งล้มเหลว เลกเชอร์ผลงานปฏิรูปสากกะเบือยันเรือรบ    ปลุก ปชช.อย่าหลงเชื่อคำวิจารณ์ที่บิดเบือน ขาดความรับผิดชอบ ท้านักการเมืองเสนอว่าจะปฏิรูปอะไรดีกว่าให้ร้าย ด้าน คสช.เล่นแรง แจ้งความ 8 แกนนำเพื่อไทยมั่วสุมทางการเมือง ผิด พ.ร.บ.คอมพ์-ม.116 ยันไม่ได้กลั่นแกล้งตำรวจเตือนแล้วไม่ฟัง แกนนำเพื่อไทยปัดมั่วสุม โวยไม่เป็นธรรม ลั่นหาช่องฟ้องกลับแน่ พร้อมเข้าให้ปากคำ 21 พ.ค.นี้ "จ่านิว" เดินหน้านัดชุมนุมหน้าทำเนียบฯ 22 พ.ค. "ศรีวราห์" ขู่จัดการเฉียบขาดแดงฮาร์ดคอร์ร่วมม็อบ  

    เมื่อวันศุกร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่าหากใครเคยเป็นคนกลางอยู่ระหว่างความขัดแย้ง คงเข้าใจได้โดยง่ายว่าสิ่งที่ยากไม่ใช่การยุติความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน เพราะว่าการปรับตัวเข้าหากัน โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของคนกลาง ตามกฎกติกาที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเรื่องของความสมัครใจและความยินยอมของทุกฝ่าย เราไม่อาจบังคับกันได้ และนั่นเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอยู่ในปัจจุบัน
    "4 ปีของ คสช. นับเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง บางอย่างทำได้ก็ทำทันที บางอย่างสำเร็จโดยง่าย เพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน หลายอย่างขับเคลื่อนได้ยาก เพราะยังไม่เข้าใจกัน ที่แย่กว่านั้น บางคน บางกลุ่ม ยังปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน จนมองไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนรวม วันนี้เราก็สามารถเริ่มต้นการปฏิรูปประเทศของเราไปแล้วหลายเรื่อง โดยขอหยิบยกบางประเด็นมาเล่า ขอย้ำว่าการปฏิรูปเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันจบสิ้น"
    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การปฏิรูปประเทศของเราระยะเริ่มต้นสามารถกล่าวได้เป็นประเด็นๆ ดังนี้ 1. เรื่องการแก้จน เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน การปฏิรูปของเราเริ่มจากการขจัดหนี้นอกระบบ สนับสนุนให้มีการฝึกอาชีพ ให้ความสำคัญในการบริหารทรัพยากรป่าไม้-ที่ดิน-น้ำ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ 2.เรื่องการแก้เหลื่อมล้ำ เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม อาทิ ความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม มีประชาชนเข้าถึงกองทุนยุติธรรมมากขึ้น กว่า 10,000 ราย 3.เรื่องการแก้โกง เพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน เน้นการเปิดเผยข้อมูลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการก่อสร้างโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ 
    4.เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและประชาคมโลก 3 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ผลักดันให้เกิดการลงทุน วงเงินกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ในแทบทุกโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ สนามบิน และสถานีขนส่งสินค้า 5.เรื่องการยกระดับการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการลงทุน 6.เรื่องการส่งเสริมการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและปรองดองในสังคมและบ้านเมือง  
    หัวหน้า คสช.กล่าวว่า ตั้งแต่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีการเสริมสร้างกลไกประชารัฐ เข้ามาขับเคลื่อน โดยเฉพาะในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และระดับฐานรากของประเทศ เราจะต้องร่วมมือกันแก้ไข ทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน จะตอบสนองความต้องการประชาชนได้ ต้องช่วยกันคิด หารือ ขัดแย้งกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ จะดีทุกอย่าง ถ้าหากเราทำเพื่อประชาชนจริงๆ แต่ต้องรับผิดชอบหากใช้จ่ายงบประมาณเกินรายได้ที่รัฐจะหาได้จนมากเกินไป   
    "ผม รัฐบาล และ คสช. ก็ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนหลงเชื่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่บิดเบือน ไม่สุจริตใจ และขาดความรับผิดชอบ ที่พยายามจะกล่าวหาว่ารัฐบาลและ คสช.ไม่ได้ทำการปฏิรูปอะไรเลย"
    นายกฯ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปต้องอาศัยวิธีการใหม่ๆ การขับเคลื่อน การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและเป็นสากล ในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อให้การปฏิรูปประสบความสำเร็จ หลายท่านกล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำ เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดินปกติ ที่ทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว อยากให้ลองกลับไปคิดดูว่า แล้วทำไมรัฐบาลที่ผ่านมาของท่านไม่ทำ ถ้าทำให้ครบทุกพื้นที่ เริ่มไว้ทุกกิจกรรม ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ ให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เราต้องเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล ก็จะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในช่องทางของดิจิทัลได้มากกว่านี้ สร้างงาน สร้างโอกาส ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
    "ท่านไม่ได้เริ่มสิ่งเหล่านี้ไว้มากนัก เราก็ต้องมาเสียเวลา จะปฏิรูปอะไรได้สักทีก็ต้องมาแก้ของเดิมกันอยู่นี่ เราก็พยายามทำทั้งของเดิมและของใหม่ไปด้วย แล้วท่านว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผมเท่าไร เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะเห็นได้ว่าเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นหลายอย่าง ปัจจุบันนั้นเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเราปฏิรูปท่ามกลางความขัดแย้ง เราอาจจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมากมาย ประชาชนก็รู้สึกเดือดร้อน ผู้มีรายได้น้อยก็รู้สึกถูกรังแก ก็เลยทำให้การปฏิรูปไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย กฎหมายไม่ได้รับความเชื่อถือ มีการทำลายกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ ทำให้เกิดการปฏิรูปได้ยาก ได้ช้า" 
รถไฟเร็วสูงก็คือการปฏิรูป
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "อยากให้ทุกคน ทุกพรรค ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาเป็น ส.ส. เป็นรัฐบาล ควรจะออกมาพูดว่าท่านจะปฏิรูปอะไร และอย่างไร ดีกว่ามาพูดว่า ติรัฐบาลนี้ทำ ไม่ทำ ท่านบอกว่าท่านจะทำอะไรดีกว่า อ้างว่าท่านเป็นกันมานานแล้ว รู้ปัญหาประเทศดีมากอยู่แล้ว ผมอยากจะรู้ว่าที่มากน่ะ ท่านแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านมีวิธีการใหม่ๆ วิธีการใช้จ่ายงบประมาณ วิธีการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมอย่างไร ย่อมจะดีกว่าที่จะมาพูดจาให้ร้ายซึ่งกันและกัน พูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำ ความยากจน พูดถึงอำนาจ ผลประโยชน์ แล้วก็มาท้าทายกันเอง ประชาชนและประเทศชาติจะมีอนาคตได้อย่างไร ถ้าหากท่านยังทำการเมืองในลักษณะเดิม การเมืองก็ต้องปฏิรูปด้วย ปฏิรูปที่ตัวเองก่อน เริ่มที่ จิตใจของเราก่อน ในเรื่องของการเสียสละ ในเรื่องของการแบ่งปัน"
    ช่วงท้าย นายกฯ ฝากบทกลอนที่สะท้อนให้เห็นถึงเสียงจากรัฐบาลและ คสช. ในช่วงท้ายของรายการ ว่า "ถึงวันนี้ ยังมีหลาย ความคิดเห็น , ว่าจำเป็น ไม่จำเป็น ให้หวนหา, ประชาธิปไตย นักเลือกตั้ง ที่ผ่านมา, ล้วนกล่าวว่า ทำวันนี้  ดีไม่พอ, อาจไม่ดี ในสายตา  ของพวกเขา, ทำแบบเรา ยั่งยืน หลาย พ.ศ., ให้เปล่าเปล่า ตามใจ เท่าไรพอ, ตั้งตารอ ไม่เรียนรู้ พัฒนา, เพียงเริ่มต้น เคารพ ข้อกฎหมาย, ไม่บานปลาย ขัดแย้ง แจ้งข้อหา, กี่ชีวิต ทรัพย์สิน สูญสิ้นมา, เพื่อวันหน้า ไม่มี แม้สักคน, ขอคนไทย ทบทวน เฝ้าหวนคิด,แล้วตั้งจิต พัฒนา หาเหตุผล, เกิดความสุข ถ้วนทั่ว  ทุกตัวตน, อย่าให้คน มองแค่เปลือก เลือกตั้งมา"
    ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุการทำรถไฟความเร็วสูงไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการบริหารระบบราชการปกติ ว่า หากมองเป็นการคมนาคมธรรมดาสามารถมองได้ แต่เราตั้งหลักว่าการปฏิรูปต้องเป็นเรื่องที่คิดล่วงหน้า ไม่ใช่งานปกติ และมีจุดมุ่งหมายไปสู่จุดที่พิเศษกว่าธรรมดา กรณีรถไฟความเร็วสูงเข้าหลักนี้ ต่อให้เป็นรถไฟธรรมดา ถ้าคิดแบบธรรมดาคือราชการปกติ แต่ถ้าคิดว่าทำเพื่อไปเชื่อมกับอะไรแล้วทำให้เกิดความเจริญ ถือเป็นการปฏิรูป อย่างประเด็นปฏิรูป 140 กว่าประเด็น บางเรื่องดูธรรมดา แต่เหตุใดจึงไม่ทำมาก่อน แสดงว่ามันติดขัด ถ้าสามารถทำอะไรได้ในสิ่งที่เคยติดให้มันไม่ติดขัดได้ ถือเป็นความยิ่งใหญ่ 
       พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กล่าวถึงการทำงาน คสช.ครบ 4 ปีว่า อยู่ที่มุมมองของคนหลายคนก็เห็นว่างานที่ คสช.ทำเยอะมากใน 4 ปี หากลองไปไล่เรียงตามกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานต่างๆ  จะเห็นว่าผลการทำงานมากทีเดียว ซึ่งเป็นรูปธรรมแทบทุกด้าน 
    พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวกรณีพรรคเพื่อไทยแถลงเกี่ยวกับผลงาน 4 ปี คสช.ว่า มันไม่ใช่การแถลง แต่เป็นการดำเนินการทางการเมืองที่ตนคิดว่าเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดี เป็นบรรทัดฐานที่มาด่าว่ากัน พอใครขึ้นมา พรรคไหนขึ้นมา อีกฝ่ายก็ด่า ประชาชนไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นควรที่จะบอกในสิ่งที่ดี ที่ควรจะทำส่วนกรณีที่ผิดกฎหมาย ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย
       พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องอย่างนี้อยู่แล้ว ตนเคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน เขาจะไม่พูดถึงเรื่องที่รัฐบาลทำมาอยู่แล้ว แต่จะไปพูดถึงเรื่องที่ไม่ได้ทำ หรือทำไม่สำเร็จ เช่นเรื่อง พ.ร.บ.ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตำรวจ ถ้ามองในภาพใหญ่ ตนถือว่ารัฐบาลสอบผ่าน โดยเฉพาะในเรื่องของความสงบเรียบร้อย ที่ 4 ปีมานี้ ไม่มีการเดินขบวน ประชาชนอยู่ได้ด้วยความสงบ แต่ทุกคนจะมามองในเรื่องเศรษฐกิจ 
ป้อมลั่น จนท.ทำตาม กม.
    พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลล้มเหลวเรื่องปราบปรามการทุจริต ว่า ป.ป.ช.มีหน้าที่ไต่สวนข้อกล่าวหาร้องเรียนเรื่องทุจริตอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ตรวจสอบ แต่ไม่ได้มองในระดับนโยบาย ส่วนการบริหารงานของรัฐบาล 4 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ถูกร้องเรียนจะมีมากน้อยกว่ารัฐบาลชุดก่อนๆ เพียงใดนั้น คงต้องวิเคราะห์ แต่สถิติบิดเบือนได้ ขึ้นอยู่กับผู้นำเสนอ เพราะตัวเลขเดียวกันคนนำเสนอมาเสนอในมิติด้านไหน ก็สามารถชักจูงผู้รับฟังให้เข้าใจผิดได้ แต่ละเรื่องจะต้องดูความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อแผ่นดิน ดังนั้น ถ้าถาม ป.ป.ช. ก็ตอบได้ยาก
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีฝ่ายกฎหมาย คสช. แจ้งความดำเนินคดีแกนนำพรรคเพื่อไทยหลังแถลงข่าวในหัวข้อ 4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาลว่า   เจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ คงต้องว่าไปตามนั้น ส่วนที่มีการแถลงข่าวก่อนหน้านี้แล้วไม่ถูกดำเนินการ อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ดูแล้วไม่ผิด เรื่องทั้งหมดเจ้าหน้าที่เป็นผู้พิจารณาว่าผิดต่อคำสั่ง คสช.หรือ พ.ร.บ.อะไรหรือไม่ หากผิดต้องว่าไปตามผิด ยืนยันตนไม่เกี่ยวข้อง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รายงานอะไรเข้ามา
    ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุผลที่แจ้งความครั้งนี้ เป็นเพราะหัวข้อที่แถลงต้องการดิสเครดิตหรือโจมตีรัฐบาล คสช.หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า อาจจะเป็นได้ ก็ไม่รู้ อย่าให้มันผิดกฎหมาย อย่าโจมตีในข้อที่เป็นไปไม่ได้
    เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ และการดำเนินคดีครั้งนี้คงไม่เกี่ยวข้องการทำให้บรรยากาศทางการเมืองคุกรุ่นขึ้น ซึ่งก่อนแจ้งความดำเนินคดี ตำรวจได้เตือนแล้ว บรรยากาศคงไม่ระอุขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องดูทุกพรรคทุกที่ ถ้าแถลงอะไรที่ขัดคำสั่ง คสช.ได้ แสดงว่าคำสั่งที่ออกมาไม่มีประโยชน์ คสช.ทำงานมาตลอด ถ้า 4 ปี ไม่ดีจริง อยู่ไม่ได้
    ถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้าพรรคใดแถลงโจมตี คสช.จะมีปัญหา แต่พรรคไหนที่แถลงชื่นชมจะไม่มีปัญหา พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เห็นมีใครชม เขาแค่สนับสนุน และหากจะโจมตี ขอให้โจมตีในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเองว่าจะทำให้ประเทศเกิดอันตราย
    นายวิษณุ เครืองาม กล่าวถึงการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.จะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่น่าจะเกี่ยว ยังไม่ถึงขั้นไกลไปกว่านั้น คดียังไม่ตัดสิน แจ้งกันเยอะแยะไป แล้วศาลยกฟ้องไปตั้งเยอะ ส่วนจะถูกตัดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ มันจะต้องมีความผิดชัดเจน มีการตัดสินกันเสียก่อน ถ้าคดีถึงที่สุด อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ตนไม่กล้าตอบเรื่องนี้ ยังนึกโยงอะไรไม่ถูกทั้งนั้น ทั้งนี้คนทำผิดไม่ต้องขึ้นศาลทหาร ทุกอย่างเปลี่ยนมาขึ้นศาลพลเรือนหมดแล้ว
     ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เดินทางเข้าติดตามการสืบสวนสอบสวนกรณีที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ คณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลและพรรคเพื่อไทย ที่ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 57/2557 ห้ามดำเนินกิจกรรมพรรคการเมือง คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ยุยงปลุกปั่นทำให้เกิดความไม่สงบ และขัดพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ หลังจากพรรคเพื่อไทยแถลงการณ์ 4 ปี คสช. เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่มีการถ่ายทอดผ่านเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย ชี้พรรคเพื่อไทยมีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.อย่างชัดเจน
8แกนนำพท.โดนข้อหาอ่วม!
    พล.ต.อ.ศรีวราห์เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการด้วยวาจาให้ตนมากำกับดูแลคดีที่ทาง คสช.มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ประกอบไปด้วย 1. นายวัฒนา เมืองสุข 2.นายจาตุรนต์ ฉายแสง 3.นายชูศักดิ์ ศิรินิล ในฐานความผิด "ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย และความผิด ป.อาญา มาตรา 116" 4.นายนพดล ปัทมะ 5.นายชัยเกษม นิติสิริ 6.นายภูมิธรรม เวชยชัย 7.พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ 8.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานความผิด "ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองณที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช.หรือผู้ได้รับมอบหมาย" พร้อมกันนั้น ได้ดำเนินคดีกับแอดมินหรือผู้รับผิดชอบเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย ในความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 14
    พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ส่วนกลุ่มผู้ที่ถูกออกหมายเรียก แจ้งว่าจะมาเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันจันทร์ที่ 21 พ.ค.นั้น สามารถมาก่อนได้ แต่อย่ามาหลังแล้วกัน โดยวันดังกล่าวได้สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนเตรียมความพร้อมในการสอบปากคำไว้ จำนวน 8 ชุด โดยเป็นการแยกสอบแต่ละบุคคล
    พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมาย คสช.ได้ดำเนินการตามหน้าที่โดยไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพราะการกระทำดังกล่าวน่าที่จะผิดตามคำสั่ง คสช.และกฎหมาย โดยรายละเอียดหลักฐาน เอกสาร สำนวนทั้งหมด ได้ส่งให้พนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้คิดว่าไม่บานปลายอะไร เพราะทาง คสช.ใช้กฎหมายดำเนินการ ตามพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เป็นไปตามขั้นตอน คสช.พยายามรักษาให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย หากมีการยุยงปลุกปั่นหรือมีการกระทำใดที่ขัดคำสั่ง คสช. ก็ต้องดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ทำตามหน้าที่ ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร หรือมีการเลือกปฏิบัติ เพราะเราจะไม่ปล่อยให้มีการทำผิด และต้องดูแลภาพรวมความสงบในส่วนรวม ในวันที่ 17 พ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย ชี้แจงทำความเข้าใจกับแกนนำพรรคแล้ว แต่ก็ยังยืนยันที่จะขึ้นเวทีร่วมกันเพื่อแถลงข่าว ดังนั้นทาง คสช.จึงต้องดำเนินการไปตามกฎหมายต่อไป
    มีรายงานว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยทั้ง 8 คน เตรียมจะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ค. เวลา 10.30 น.
    ทางด้านพรรคเพื่อไทย ตอบโต้กลับอย่างดุเดือด โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานฝ่ายกฎหมาย กล่าวว่า ไม่รู้สึกหนักใจ ถือว่าการดำเนินการของตนและสมาชิกพรรคเป็นการทำหน้าที่ของประชาชนคนหนึ่ง เมื่อ คสช.และรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน เมื่อทำงานไม่ดี และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ก็ย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องธรรมดา การแสดงความคิดเห็นต่อสื่อมวลชนเป็นการทำโดยเจตนาสุจริต ไม่ถือว่าเป็นการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่จะเป็นการขัดต่อคำสั่งหรือประกาศของ คสช. และไม่ใช่เป็นการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน หรือการยุยงปลุกปั่นประชาชน อันจะเป็นความผิดตาม ม.116 และมิใช่เป็นการนำข้อความอันเป็นเท็จมากล่าว ที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามที่ตัวแทน คสช.กล่าวอ้าง ก็ย่อมไม่มีการกระทำที่ขัดคำสั่ง คสช. หรือผิดกฎหมายอาญา 
    "จะรอพนักงานสอบสวนว่าจะมีการตั้งข้อหาอะไรบ้าง หากเห็นว่ามีการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินจริง ก็คงจะต้องใช้สิทธิทางกฎหมายในการดำเนินคดีกลับเพื่อปกป้องสิทธิเช่นกัน" นายชูศักดิ์กล่าว
โวยกองเชียร์บุรีรัมย์ไม่ผิด
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นเหล่านี้ ถ้าเป็นการทำกิจกรรมทางการเมือง หรือมีความเห็นว่าเป็นการชุมนุมทางการเมือง อยากถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ การที่มีหัวหน้าพรรคการเมืองมีพรรคการเมืองมาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วมีการพูดปราศรัยอะไรต่างๆ ยิ่งเข้าข่ายมากกว่า ถ้าทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าตรงนี้เป็นความผิด ถ้าจะเอาผิดอะไรก็ต้องเอาผิดอย่างเสมอหน้ากันทุกฝ่าย อย่าให้มีลักษณะที่มาคอยเล่นงานแต่พรรคเพื่อไทยฝ่ายเดียว สิ่งที่สมาชิกพรรคแต่ละคนแสดงความเห็นตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายของประเทศได้ให้สิทธิ ให้การรับรอง สิ่งที่รัฐบาลควรทำวันนี้คือการเงี่ยหูฟังนักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน รวมถึงวิชาชีพต่างๆ 
    นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การที่แกนนำพรรคเพื่อไทยจัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 17 พ.ค. เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจากการเก็บข้อมูลมาตลอด เพื่อบอกให้ประชาชนรับรู้ว่าผลงานเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลไม่ต้องการให้มีการตรวจสอบ พอมีคนแถลงจึงไม่พอใจ ส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดี แสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส กลัวประชาชนจะรู้ความจริง ต้องการปิดหูปิดตาประชาชน จำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น คือการใช้อำนาจเผด็จการเต็มที่
    นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยนำเสนอความจริงกับประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ เป็นการบอกกล่าวเรื่องทั่วไปที่รัฐบาล คสช.บริหารงานมา 4 ปี ว่าอะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ให้ผู้คนได้รับรู้ เหมือนเป็นฝ่ายตรวจสอบแทนประชาชน รัฐบาลจะกลัวอะไรกับความจริง หรือเป็นพวกปีศาจที่กลัวแสงสว่าง หรือรัฐบาลนี้กลัวกระจกเงา 
    ส่วนนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มันค่อนข้างจะพิเศษ เคสนี้ต่างกับทุกครั้ง เพราะพรรคการเมืองเคยแถลงในลักษณะนี้หลายครั้ง ทุกพรรคก็ทำ ซึ่งรัฐบาลก็รู้ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายในการแสดงออกนั้น ก่อนเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ควรจะต้องผ่อนคลาย แต่กลายเป็นว่าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งกลับเข้มงวด ทั้งที่รัฐบาลก็มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ยิ่งเป็นช่วงครบรอบ 4 ปี คสช. ก็ควรจะเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ตามสมควร จะไม่ให้วิจารณ์เสียเลยก็ค่อนข้างจะแปลก และ คสช.ก็ไม่มีเหตุอะไรที่ต้องกลัว เพราะอำนาจของรัฐบาล คสช.ยังมีอยู่อย่างเต็มที่ ไม่ควรจะกลัวในด้านทำให้เกิดความวุ่นวาย สำหรับตนไม่ได้กลัวอะไร เพราะพูดคนเดียวไม่ได้อยู่ 5 คน หรือแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก 
    นายอุดม รัฐอมฤต กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะรับรองสิทธิของการแสดงความเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์ของบุคคลและประชาชน แต่ต้องเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีบทเฉพาะกาลที่เป็นรอยต่อ ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้เต็มที่ โดยเฉพาะบทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ต้องทำความเข้าใจว่าในระยะเปลี่ยนผ่าน การวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจปัจจุบันอาจถูกเพ่งเล็ง เพราะถือว่าเป็นคู่แข่งทางการเมือง
ขู่แดงฮาร์ดคอร์ร่วมม็อบ
     วันเดียวกัน เวลา 12.30 น. ที่บริเวณสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อโศก นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว พร้อมด้วยนักศึกษาจากกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ได้เดินทางมาแจกพัดรูปการ์ตูน “ยุทธน็อกคิโอ”  จำนวน 200 ชิ้น โดยเป็นการ์ตูนล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์ กับพิน็อกคิโอ พร้อมข้อความเชิญชวนให้มาทวงวันเลือกตั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 22 พ.ค. โดยมีตำรวจจาก สน.ลุมพินี ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดรถไฟฟ้าบีทีเอสและห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 คอยดูแลอย่างเข้มงวด
    ทันทีที่นายสิรวิชญ์และพรรคพวกเตรียมจะหยิบพัดมาแจกให้กับประชาชนที่สัญจรไปมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางเข้าไปขอความร่วมมือห้ามแจก โดยนายสิรวิชญ์ถามเจ้าหน้าที่ถึงสาเหตุของการห้ามแจก แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบถึงเหตุผลดังกล่าว ทำให้นายสิรวิชญ์จึงเริ่มแจกพัด จนเจ้าหน้าที่เข้ามาล้อมกลุ่มของนายสิรวิชญ์ ส่งผลให้การสัญจรบนรถไฟฟ้าแน่นขนัด 
    นายสิรวิชญ์กล่าวภายหลังการแจกพัดหมดแล้วว่า ขอเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21-22 พ.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยจะเป็นกิจกรรมค้างคืน ก่อนจะเคลื่อนไหวไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน 
     ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ขอบอกไปยังพวกฮาร์ดคอร์เฉพาะของเสื้อแดง อย่าแหลมออกมา ส่วนการชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ก็ชุมนุมไป แต่ถ้ากลุ่มฮาร์ดคอร์มาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเฉียบขาดแน่นอน พวกที่คิดทำนอกกฎหมาย พูดง่ายๆ คือการพกพาอาวุธมาเพื่อก่อเหตุในการชุมนุม เอาประชาชนตาดำๆ ที่ไม่รู้เรื่องเป็นเครื่องมือ เราจะจัดการอย่างเด็ดขาด อีกเรื่องคือเขตบริเวณพระราชฐาน 150 อย่าไปวุ่นวาย เราดำเนินการเฉียบขาดแน่
      นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่จะพุ่งเป้ามาที่คนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย กรณีมีการจัดกิจกรรมของกลุ่มต่างๆ เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคลที่จะพิจารณาเองว่าจะไปร่วมหรือไม่ไปร่วม เพราะตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกทางการเมืองโดยสงบ สันติ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลของโลก ตราบใดที่ใครหรือคนเสื้อแดงไปร่วมกิจกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนตัวเคารพสิทธของแต่ละท่าน ซึ่งแต่ละคนมีความคิดที่หลากหลาย เราไม่สามารถไปควบคุมใครได้ ใครจะออกมาร่วมชุมนุม ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่จะพิจารณาเอาเอง เราไปชี้นำอะไรไม่ได้.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"