วิถีชีวิตชาวปกาเกอะยอบ้านห้วยริน จ.แม่ฮ่องสอน “เงินไม่ใช่พระเจ้า ข้าวต่างหากที่คือพระเจ้า”


เพิ่มเพื่อน    

 

นาข้าวบ้านห้วยรินหลังการเก็บเกี่ยวและชาวบ้านช่วยนำอาหารไปทำบุญ

 

บ้านห้วยริน   ตำบลแม่ลาน้อย  อำเภอแม่ลาน้อย  จังหวัดแม่ฮ่องสอน  อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่ลาน้อยประมาณ 4 กิโลเมตร  เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง  ‘ปกาเกอะยอ’   จำนวน 115 ครอบครัว  ประชากรประมาณ 440 คน  ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์  ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก  แต่ก็ปลูกข้าวทุกครัวเรือนเพื่อเอาไว้กินตลอดทั้งปี  เมื่อเหลือจึงขาย  และแบ่งปันให้คนที่มีข้าวไม่พอกิน  เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ยังสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของชาวปกาเกอะยอเอาไว้หลายอย่าง

 

สราวุฒิ ขจรสันติชัย อดีตพ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านบ้านห้วยริน  บอกว่า  ชาวบ้านที่นี่นับถือว่า ‘ข้าว’ มีพระคุณเหมือนกับพ่อแม่ของเขา   ดังนั้นเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจึงมีการทำบุญขวัญข้าวเพื่อตอบแทนคุณ  และยังมีพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้าวตลอดทั้งปี  ที่สำคัญก็คือมีพิธี ‘กองบุญข้าว’  หลังฤดูเก็บเกี่ยว  เพื่อให้ชาวบ้านนำข้าวเปลือกมาทำบุญแล้วนำไปเก็บในยุ้งข้าว  เหมือนกับเป็นธนาคารข้าวเปลือกสำรองเอาไว้ในหมู่บ้านเพื่อให้คนที่ขาดแคลนยืมข้าวเอาไปกิน  และเมื่อทำนาได้ผลแล้วจึงนำข้าวเปลือกมาคืนพร้อมกับดอกเบี้ยเล็กน้อยเพื่อให้ธนาคารข้าวเติบโตและยั่งยืน  สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อีก

 

“มีนิทานของชาวปกาเกอะยอเรื่องหนึ่งเล่าต่อกันมาว่า  ในสมัยก่อน  มีพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งขี่ช้างหลงเข้าไปในหมู่บ้านชาวปกาเกอะยอแห่งหนึ่ง  แล้วประกาศกับชาวบ้านว่าตนเองเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย  มีช้างมากมาย  มีเงินที่จะซื้อข้าวปลาอาหารจากชาวบ้านได้ทั้งหมู่บ้าน  เมื่อพ่อค้าหิวข้าวจึงเอาถุงเงินออกมาเพื่อจะขอซื้อข้าวจากชาวบ้าน  แต่ชาวบ้านก็ไม่ได้ให้ความสนใจ  เพราะชาวบ้านไม่เคยใช้เงิน  ไม่รู้จักเงิน  สุดท้ายพ่อค้าต้องใช้ช้างที่ตนเองขี่มาแลกข้าวกับชาวบ้านได้เพียง 1 ห่อกินแก้หิว”  อดีตพ่อหลวงบ้านห้วยรินยกนิทานแฝงปรัชญาขึ้นมาเล่า  ก่อนย้ำว่า “เงินไม่ใช่พระเจ้า  ข้าวต่างหากที่เป็นพระเจ้า”

 

ชาวบ้านห้วยรินช่วยกันถอนกล้าข้าวก่อนนำไปปลูก (ภาพจากเพจ ห้วยริน M 14)

 

“บือฉ่อบุ” กองบุญข้าว

ในอดีตชาวปกาเกอะยอและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคเหนือจะมีความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ เป็นของตนเอง  แต่เมื่อราว 100 ปีก่อน  คริสต์ศาสนาได้เดินทางมาถึงพร้อมกับผู้เผยแผ่ที่ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงดอยเข้าไปถึงหมู่บ้าน  กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จึงเริ่มหันมานับถือศาสนาคริสต์ (ส่วนใหญ่เป็นนิกายโรมันคาทอลิก)  เช่นเดียวกับชาวปกาเกอะยอบ้านห้วยริน  แต่ก็ยังสืบทอดประเพณีและความเชื่อของบรรพบุรุษเอาไว้หลายอย่างจนถึงปัจจุบัน  รวมทั้งยังหลอมรวมความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับงานพัฒนาหมู่บ้านได้อย่างกลมกลืน

 

เช่น  ประเพณี ‘บือฉ่อบุ’ หรือกองบุญข้าว  โดยจะทำหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในราวเดือน 12  (ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม) เพื่อนำข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวมาทำบุญ  แบ่งปันให้คนยากไร้  หรือครอบครัวที่มีข้าวไม่พอกิน

 

ภัยจากธรรมชาติทำให้ไร่นาเสียหาย  หลายครอบครัวปลูกข้าวไม่พอกิน (ภาพจากเพจ ห้วยริน M 14)

 

โดยชาวปกาเกอะยอมีความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่า  “ข้าวมีอยู่ 9 เมล็ด  เมล็ดที่ 1 เอาไว้สำหรับตัวเองเพื่อบริโภค เมล็ดที่ 2 สำหรับครอบครัว  เมล็ดที่ 3 สำหรับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง  เมล็ดที่ 4 เพื่อคนยากจนที่มาขอในยามยาก  เมล็ดที่ 5 เอาไว้บวชลูก เมล็ดที่ 6 เอาไว้ค้ำจุนสังคมยุคพระศรีอาริย์ เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกันเพื่อช่วยกันสร้างสังคมใหม่ เมล็ดที่ 7 มีไว้เพื่อแลกกับแก้วแหวนเงินทอง  เมล็ดที่ 8 เอาไว้เพื่อสร้างชุมชนเพื่อทำให้เกิดอารยธรรม  และเมล็ดที่ 9 เอาไว้เพื่อตัวข้าเมื่อข้าตายไปแล้ว” (ข้อมูลจากhttp://www.jpthai.org)

 

นั่นคือความเชื่อที่นำมาสู่การแบ่งปัน  เกื้อกูลกันของชาวปกาเกอะยอ  ขณะเดียวกัน ศูนย์สังคมพัฒนา สังฆมณฑลเชียงใหม่  (องค์กรพัฒนาเอกชนที่เป็นองค์กรศาสนาภายใต้สภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา) ได้นำแนวคิดการจัดตั้งธนาคารข้าวมาต่อยอดพิธีกองบุญข้าวของชาวปกาเกอะยอในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ จ.เชียงใหม่  ในช่วงปี 2530  หลังจากนั้นพิธีกองบุญข้าวจึงแพร่หลายไปทั่วภาคเหนือในหมู่บ้านที่นับถือศาสนาคริสต์  รวมทั้งที่บ้านห้วยริน  อ.แม่ลาน้อย  จ.แม่ฮ่องสอนด้วย

 

สากล  บรรพขจรเวช  อายุ 36  ปี  พ่อหลวงบ้านห้วยริน (คนปัจจุบัน) บอกว่า  พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านห้วยรินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งซ้าย  ชาวบ้านจึงมีพื้นที่ทำกินไม่มากนัก  ครอบครัวหนึ่งประมาณ  3-4 ไร่  ส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพด(เลี้ยงสัตว์) และถั่วเหลืองเอาไว้ขาย  แต่ได้ราคาไม่ดีนัก  โดยเฉพาะข้าวโพดราคาประมาณกิโลกรัมละ  4-5 บาท แต่ก็จำเป็นต้องปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว  และปลูกข้าวเจ้าเอาไว้กิน  ที่เหลือก็ขาย  เป็นข้าวพันธุ์ กข.21  มีจุดเด่น  คือทนต่อโรคและแมลง  ให้ผลผลิตสูง (ประมาณ 700 กิโลกรัม/ไร่)

 

“แม้ว่าชาวบ้านห้วยรินจะมีรายได้จากการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองไม่มากนัก  แต่เราก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียง  ไม่ฟุ่มเฟือย  และยังปลูกข้าวเอาไว้กิน  มีพิธีกองบุญข้าวทุกปี  เอาข้าวเปลือกมาสำรองไว้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน    ตอนนี้มีข้าวเปลือกเหลืออยู่ประมาณ 5 ตัน”  พ่อหลวงบ้านห้วยรินบอก

 

พิธีบือฉ่อบุหรือกองบุญข้าวที่บ้านห้วยริน  เริ่มขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาตั้งแต่ราวปี 2535  โดยจะมีพิธีภายหลังการเกี่ยวข้าวแล้ว  หรือในช่วงเดือน 12 (ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม)  หลังเกี่ยวข้าวชาวบ้านจะมีการทำบุญขวัญข้าว   โดยนำเอาข้าวปลาอาหารมาเซ่นไหว้  เพื่อตอบแทนพระคุณของข้าวที่ออกช่อชูรวงมาให้กิน

 

จากนั้นแต่ละครอบครัวก็จะแบ่งข้าวเปลือกเอามากองร่วมกัน  ใครมีน้อยก็ให้น้อย  มีมากก็ให้มาก  จึงเรียกพิธีนี้ว่า ‘กองบุญข้าว’  เป็นการทำบุญช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่า  หรือครอบครัวที่มีข้าวไม่พอกินในหมู่บ้าน  หากมีข้าวเหลือก็จะนำไปเก็บไว้ในยุ้งข้าว  ใครเดือดร้อนก็มาเอาไปกิน  หรือหมู่บ้านอื่นๆ ที่ขาดแคลนก็เอาข้าวไปกินได้  รวมทั้งยังนำข้าวไปช่วยเหลือหมู่บ้านที่ประสบภัยพิบัติ  ไม่มีข้าวกิน

 

สากล  บรรพขจรเวช  พ่อหลวงบ้านห้วยรินกับธนาคารข้าว

 

‘บือพอ’  ธนาคารข้าว 

ไม่เพียงแต่จะมีพิธีทำขวัญข้าวและกองบุญข้าวเท่านั้น  ชาวปกาเกอะยอบ้านห้วยรินยังมีพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้าวตลอดทั้งปี   รวมแล้วเกือบ 10 พิธี   ตั้งแต่พิธีการถางไร่  การหว่านข้าว  การเลี้ยงผีไร่  พิธีไล่ความชั่วร้ายในไร่  ฯลฯ  เพื่อปกป้องไร่นา  และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ได้ข้าวอุดมสมบูรณ์  ถือเป็นการแสดงความอ่อนน้อม  คารวะต่อบุญคุณของแผ่นดิน

พ่อหลวงสากล  บอกว่า ชาวบ้านห้วยรินใช้วิธีการทำนาแบบดำนา  เนื่องจากพื้นที่ทำนาเป็นที่ราบเชิงหุบเขา  ไม่ใช่การเพาะปลูกแบบข้าวไร่บนดอย  อาศัยน้ำจากห้วยรินและน้ำฝนในการทำนา  โดยการเพาะต้นกล้าก่อน  เมื่อเพาะต้นกล้าจนโตแล้วจึงถอนต้นกล้าเอามาปักดำในนา  ซึ่งในช่วงการดำนานี้เอง  ชาวบ้านห้วยรินจะใช้วิธี ‘เอามือ’ หรือลงแรงช่วยกันดำนา  โดยจะบอกกล่าวไหว้วานให้เพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องมาช่วยกันถอนต้นกล้าเพื่อนำไปดำ  แปลงละ 10-20 คน  ใช้เวลา 1-2 วันก็แล้วสร็จ  เพราะส่วนใหญ่มีที่นาไม่มาก   แล้วหมุนเวียนไปช่วยเอามือในแปลงอื่นๆ  ทำให้ประหยัดเวลา  ประหยัดค่าแรง  รวมทั้งยังทำให้เกิดความรัก  ความสามัคคีในหมู่บ้านด้วย

 

การ ‘เอามือ’ ช่วยกันถอนกล้าข้าวเพื่อเอามาปลูก (ภาพจากเพจ ห้วยริน M 14)

 

ข้าวพันธ์ กข. 21  จะใช้ระยะเวลาตั้งแต่เพาะต้นกล้าประมาณ 30 วัน  และเติบโตพร้อมเกี่ยวข้าวอีก 120-130 วัน  หากเริ่มปลูกในช่วงต้นฤดูฝน  ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน  ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนก็เก็บเกี่ยวข้าวได้  หลังจากนั้นจึงมีพิธีกองบุญข้าว  แล้วเอาข้าวเปลือกไปใส่ไว้ในยุ้งข้าวหรือ ‘บือพอ’  หรือธนาคารข้าวในหมู่บ้าน  ครอบครัวไหนที่มีที่นาน้อย  หรือปลูกข้าวไม่พอกินก็จะเอาข้าวเปลือกไปกินก่อน

 

“เมื่อเกี่ยวข้าวแล้ว  ชาวบ้านจะเอาข้าวเปลือกขึ้นยุ้งเพื่อเก็บไว้กินให้พอตลอดทั้งปี  คนที่มีข้าวเหลือกินแล้วก็จะนำข้าวเปลือกมาร่วมพิธีกองบุญ  ครอบครัวละ 1 หลัง  หรือ 112  กิโลฯ  หากครอบครัวไหนมีข้าวไม่พอกินก็จะมาเอาที่ธนาคารข้าว  ถ้าเอาข้าวไป 1 หลัง (112 กิโลฯ)  เวลาเอาข้าวมาคืนก็จะคืน 1 หลังกับ 1 ควาย (14 กิโลฯ)  หรือเสียดอกเบี้ย 14 กิโลฯ  เพื่อให้ธนาคารมีข้าวสำรองเอาไว้ตลอดทั้งปี”  พ่อหลวงสากลอธิบาย  และบอกถึงวิธีการนับปริมาณข้าวของชาวบ้านห้วยริน

 

ช่วยกันเอาข้าวเปลือกขึ้นยุ้งข้าว หรือ ‘บือพอ’ (ภาพจากเพจ ห้วยริน M 14)

 

ปัจจุบัน (มีนาคม 2564)  ธนาคารข้าวบ้านห้วยรินมีข้าวเปลือกสำรองประมาณ 5 ตัน  หรือประมาณ 5,000 กิโลกรัม  โดยมีชาวบ้านที่ปลูกข้าวพอกินประมาณ 50 ครอบครัว (จากทั้งหมด 115 ครอบครัว) ที่นำข้าวมาร่วมพิธีกองบุญข้าว  ครอบครัวละ 1 หลังหรือ 112 กิโลฯ  ข้าวที่เหลือสำรองในธนาคารข้าวส่วนหนึ่งจะขายให้พ่อค้าเพื่อนำเงินมาพัฒนาหมู่บ้าน  รวมทั้งถวายวัดและโบสถ์ด้วย


สราวุฒิ ขจรสันติชัย อดีตพ่อหลวงบ้านห้วยรินกล่าวเสริมว่า  “เมื่อก่อนชาวบ้านที่นี่อดอยาก  ต้องเอาของไปแลกข้าวจากที่อื่นมากิน  แต่ตอนนี้คนจากหมู่บ้านอื่นต้องมาแลกข้าวที่นี่   และยังช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนได้  เมื่อครั้งที่อำเภอปายดินถล่ม  (ประมาณปี 2548)  พวกเราก็เอาข้าวจากที่นี่ไปช่วยเหลือพี่น้องทางโน้นด้วย” อดีตพ่อหลวงบอกด้วยความภูมิใจ

 

ร้านค้าชุมชนบ้านห้วยริน นำผลกำไรคืนสู่ชุมชน

 นอกจากพิธีกองบุญข้าวและธนาคารข้าวซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของชาวปกาเกอะยอบ้านห้วยรินแล้ว  ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีการจัดตั้งร้านค้าชุมชนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546  หลังจากที่ผู้นำในหมู่บ้านได้ไปศึกษาดูงานร้านค้าชุมชนมาจากจังหวัดลำพูน  เปิดขาย 2 ช่วงทุกวัน  คือ ช่วงเช้าตั้งแต่ตี 5  จนถึง 8 โมงเช้า และช่วงเย็น  เวลา 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม  มีคนขายและทำบัญชี 1 คน 

 

ขายสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน  เช่น  สบู่  ยาสีฟัน  ผงซักฟอก  น้ำมันพืช  ขนม  ของขบเคี้ยว  บะหมี่สำเร็จรูป  นม  และเครื่องดื่มต่างๆ  รวมทั้งยังมีปั้มน้ำมันหยอดเงินบริการด้วย  ถือเป็นร้านสะดวกซื้อของชาวบ้าน  ไม่มีแอร์  แต่มีเงินปันผล  และยังนำผลกำไรส่วนหนึ่งมาพัฒนาหมู่บ้าน

 

ร้านค้าชุมชนบ้านห้วยริน

 

พันธ์  วิริยศิลา  ประธานกรรมการร้านค้าชุมชน  บอกว่า  ช่วงแรกร้านค้าชุมชนกำหนดกฎระเบียบออกมาให้สมาชิกถือหุ้นๆ ละ 5 บาท เพื่อเป็นเงินลงทุนและซื้อสินค้าเข้ามาจำหน่าย  สิ้นปีก็จะมีเงินปันผลและมีสวัสดิการช่วยเหลือสมาชิก     แต่ด้วยการขาดประสบการณ์ ในช่วงแรกจึงไม่ได้จำกัดการถือหุ้น  คนที่มีเงินมากก็ซื้อหุ้นคนละ 1,000-2,000 บาท  หวังว่าจะได้เงินปันผลมากๆ  ต่อมาจึงปรับให้ถือหุ้นได้ไม่เกินคนละ 100 บาทเพื่อความเท่าเทียมกัน  เริ่มแรกมีเงินลงทุนประมาณ 10,000 บาท

 

“ตอนที่เปิดร้านค้าชุมชนใหม่ๆ   คนที่เปิดร้านขายของชำในหมู่บ้านอยู่แล้วก็ไม่พอใจ เพราะคิดว่าเราจะมาแย่งลูกค้า ทำให้เขาขาดรายได้  แต่พอนานไป  เขาก็เข้าใจ  เพราะรู้ว่าร้านค้าชุมชนเป็นของส่วนรวม  เป็นของหมู่บ้าน  ผลกำไรก็นำมาแบ่งปันกัน  ตอนหลังร้านชำเหล่านี้ก็มาสมัครเป็นสมาชิกของเราด้วย” ประธานฯ ร้านค้าชุมชนบอกเล่าการดำเนินการในช่วงแรก

 

กรรมการร้านค้าชุมชน

 

ปัจจุบันร้านค้าชุมชนบ้านห้วยรินมีสมาชิกทั้งหมด 75 ราย  ปี 2563 ที่ผ่านมา  มียอดขายรวมประมาณ 170,000 บาท  มีผลกำไรประมาณ  30,000 บาท  ปันผลให้สมาชิกหุ้นละ 5 บาท  และแบ่งกำไรให้สมาชิกตามยอดซื้อตลอดทั้งปี  เฉลี่ยคนละ 5 % ของยอดซื้อ  (บางคนได้เงินปันผลกำไร 2,400 บาท)  มีเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 60,000 บาท

 

นอกจากนี้ร้านค้าชุมชนจะจัดสรรผลกำไรดังนี้  20 %  เป็นทุนหมุนเวียนให้ร้านค้า  40 %  นำมาเป็นเงินพัฒนาหมู่บ้าน  เช่น ซ่อมถนน  ซ่อมท่อประปา  ทำฝายชะลอน้ำ  และ 40 %  นำมาจัดสวัสดิการให้สมาชิก  เช่น  คลอดบุตรช่วยเหลือ 500 บาท  เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลช่วยเหลือ300-500 บาท (ตามระยะทาง)  เสียชีวิตช่วยเหลือ 1,000 บาท 

 

ผลกำไรจากร้านค้านำไปพัฒนาชุมชน  เช่น  ทำฝายชะลอน้ำ (ภาพจากเพจ ห้วยริน M 14)

 

รวมทั้งยังช่วยเหลือคนที่พิการ  คนด้อยโอกาส  และบริจาคข้าวเข้ากองบุญข้าวด้วย  ส่วนจะช่วยมากน้อยเพียงใดก็จะดูจากผลกำไรในแต่ละปี  โดยคณะกรรมการร้านค้าฯ จะเป็นผู้พิจารณา  ปัจจุบันมีเงินกองทุนสวัสดิการร้านค้าประมาณ 10,000 บาท

 

ถือเป็นหมู่บ้านที่มีความเกื้อกูล แบ่งปัน  ช่วยเหลือดูแลกันและกัน  เหมือนกับความเชื่อเรื่องข้าวของชาวปกาเกอะยอที่ว่า  “ข้าวมีอยู่ 9 เมล็ด  เมล็ดที่ 1 เอาไว้สำหรับตัวเองเพื่อบริโภค เมล็ดที่ 2 สำหรับครอบครัว  เมล็ดที่ 3 สำหรับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง  เมล็ดที่ 4 เพื่อคนยากจนที่มาขอในยามยาก...”  

 

(โดยสำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน))


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"