วันนี้ - ดร.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กล่าวว่า สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้วางแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากรในสาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายโดยดำเนินการร่วมกับชุมชนทั่วประเทศ ตั้งเป้าให้พัฒนาชุมชนผู้ผลิตผ้ามีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นอกจากดำเนินโครงการการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกายร่วมสมัยชายแดนใต้ ที่นำผ้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มาเป็นโจทย์ในการแข่งขันในการพัฒนาผ้าพื้นเมืองแล้ว สศร. ยังมีโครงการพัฒนาเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์จากผ้าไทยของชุมชนในพื้นที่ 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง และโครงการพัฒนาการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยร่วมสมัย ซึ่งปีนี้จะนำดีไซน์เนอร์จับคู่กับชุมชนผู้ผลิตผ้าใน 4 จังหวัด 4 ภูมิภาค ให้มีการสร้างสรรค์งานร่วมกันระหว่างดีไซน์เนอร์และชุมชน โดยมุ่งหวังให้ชุมชนได้เรียนรู้และสร้างทักษะในการสร้างสรรค์งาน เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต
ดร.วิมลลักษณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สศร. ยังได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ในการพัฒนาความร่วมมือด้านศิลปะร่วมสมัยสาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย พร้อมส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสในการนำผ้าไทยมาใช้ในการออกแบบเครื่องแต่งกาย โดยสาระสำคัญของความร่วมมือ มีดังนี้ 1.ร่วมส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนางานด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย 2. เพื่อพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยสาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย 3. ส่งเสริมสนับสนุนและเผยแพร่กิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย 4.เสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อเพิ่มพูนภูมิปัญญาและต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม 5.ร่วมกันดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดประโยชน์และประยุกต์ใช้ในสังคม โดยข้อตกลงฉบับนี้มีระยะเวลา 1 ปี โดยมั่นใจว่า แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยจะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาผ้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เราตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถในการกระตุ้นเปิดตลาดผ้าไทยให้มีกำไรมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสร้างการยอมรับในเวทีโลกอย่างกว้างขวางมากขึ้นอีกด้วย