เชียงราย / เวทีสัมมนาเสริมสร้างศักยภาพผู้นำองค์กรชุมชนภาคเหนือ 15 จังหวัด ใช้พื้นที่เตรียมประกาศเขตอุทยานฯ ภูชี้ฟ้าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพราะจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำมาหากินของชาวบ้านกว่า 50,000 คน ขณะที่ผู้นำชาวม้งยืนยันชาวบ้านรักษาป่าเองได้ โดยไม่ต้องประกาศเขตอุทยานฯ พร้อมใช้สภาองค์กรชุมชนเป็นเครื่องมือวางแผนแก้ปัญหาความเดือดร้อน
ระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2561 คณะกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้นำองค์กรชุมชนภาคเหนือร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานภาคเหนือ จัดเวทีสัมมนาการพัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กรชุมชนภาคเหนือ 15 จังหวัด ‘การจัดทำแผนพัฒนาชุมชนพึ่งตนเอง’ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า ต.ตับเต่า อ.เทิง จ.เชียงราย โดยมีผู้นำชุมชน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช.สำนักงานภาคเหนือ และวิทยากรที่มีประสบการณ์ด้านงานพัฒนาขบวนองค์กรชุมชนเข้าร่วมงานประมาณ 140 คน
นายประนอม เชิมชัยภูมิ คณะกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้นำองค์กรชุมชนภาคเหนือ กล่าวว่า การจัดการสัมมนาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้นำขบวนองค์กรชุมชน 15 จังหวัดภาคเหนือสามารถจัดทำแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาในชุมชนท้องถิ่นของตนเองได้ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้นำชุมชนสามารถใช้พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้นำชุมชนหลายแห่งรับรู้ว่ามี พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฯ หรือจัดตั้งสภาฯ แล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีการที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
“การเลือกพื้นที่สัมมนาที่ภูชี้ฟ้าในครั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว ทางราชการ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายที่จะประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า จากเดิมที่เป็นเขตวนอุทยานฯ มีพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ เมื่อประกาศเขตอุทยานฯ แล้วจะมีพื้นที่ประมาณ 200,000 ไร่ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำมาหากินของชาวบ้านกว่า 50,000 คนในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นการจัดงานสัมมนาที่ภูชี้ฟ้าจะทำให้ผู้นำชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ที่เตรียมประกาศเขตอุทยานฯ มีความตื่นตัวและร่วมกันจัดทำแผนงานขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเครื่องมือ ส่วนผู้นำจากจังหวัดต่างๆ ก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์ไปพร้อมกัน” นายประนอมกล่าว
ทั้งนี้พื้นที่ที่เตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า ครอบคลุมพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น และภูชี้ฟ้า อยู่ติดกับชายแดนประเทศลาว ในเขตอำเภอเชียงของ ขุนตาล เวียงแก่น และเทิง รวมทั้งหมด 8 ตำบล เนื้อที่ประมาณ 200,000 ไร่ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการทวงคืนพื้นที่ป่าทั่วประมาณ 40 % ของพื้นที่ทั้งหมดที่ถูกบุกรุก รวมทั้งการประกาศเขตอุทยานฯ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าทั่วประเทศด้วย
นายพูลสวัสดิ์ ยอดมณีบรรพต อายุ 69 ปี อดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย อาศัยอยู่ที่ ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ตัวแทนชาวม้งกล่าวว่า พื้นที่ที่เตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีชาวม้งอาศัยอยู่ โดยสมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อน ชาวม้งถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มเหงรังแก ได้รับความเดือดร้อน จึงหลบหนีไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่มีฐานที่มั่นอยู่ติดชายแดนประเทศลาว และร่วมต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลเรื่อยมา จนเมื่อรัฐบาลมีนโยบาย 66/2523 เพื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ ชาวม้งจึงยอมวางอาวุธ และเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยรัฐจัดสรรที่ดินทำกินให้ ทำให้ชาวม้งและครอบครัวมีชีวิตที่สงบสุข ทำมาหากินด้วยการทำไร่ ทำสวนบนพื้นที่สูง โดยเฉพาะที่ภูชี้ฟ้า ดอยยาว และดอยผาหม่น
“หากทางราชการประกาศเขตอุทยานฯ ก็จะให้พี่น้องชาวม้งได้รับความเดือดร้อน เช่น หากเข้า-ออกผ่านเขตอุทยานฯ จะต้องเสียค่าผ่านทาง ชาวบ้านเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ของตนเอง หรือเก็บสมุนไพร หน่อไม้ เห็ดป่าไม่ได้ เพราะอาจจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเหมือนกับชาวบ้านที่ดอยผาจิ จังหวัดพะเยา ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ชาวบ้านโดนจับไป 7 ราย นอกจากนี้ชาวบ้านที่ทำที่พักหรือรีสอร์ทอาจจะถูกรื้อถอนเพราะอยู่ในเขตอุทยานฯ เหมือนกับที่เขาค้อหรือภูทับเบิก แต่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นรีสอร์ทของนายทุน แต่ที่ภูชี้ฟ้าเป็นของชาวบ้านทำกันเอง” ตัวแทนชาวม้งกล่าว
นายสุรชัย กตเวทีธรรม ผู้ใหญ่บ้านร่มฟ้าผาหม่น ต.ปอ อ.เวียงแก่น กล่าวว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีอาชีพ ปลูกหอมดอก กะหล่ำปลี ถั่วพุ่ม และปลูกข้าวไร่เอาไว้กิน แต่เดิมเคยปลูกข้าวโพดเป็นอาชีพหลัก แต่รัฐบาลประกาศห้ามไม่ให้พ่อค้ารับซื้อข้าวโพดที่ปลูกบนพื้นที่สูง ชาวบ้านจึงต้องปลูกพืชไร่ขายส่งให้พ่อค้า ฐานะส่วนใหญ่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หากมีการประกาศเขตอุทยานฯ ก็จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนยิ่งขึ้น เพราะทุกวันนี้ก็ทำมาหากินลำบากอยู่แล้ว
“ส่วนการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ เราได้เตรียมวางแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาการประกาศเขตอุทยานฯ โดยเราจะใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลปอและสภาตำบลในพื้นที่ใกล้เคียง คือตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ร่วมกันแก้ไขปัญหา และจัดการปัญหาของตัวเองได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องประกาศเขตอุทยานฯ เพราะเราจะช่วยกันรักษาและเพิ่มพื้นที่ป่า โดยการสำรวจและรังวัดพื้นที่ที่ดินทำกินกับพื้นที่ป่าออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่า และจะเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลกฎระเบียบการห้ามบุกรุกป่า ห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งตอนนี้ในตำบลเริ่มทำไปแล้ว 9 หมู่บ้านจากทั้งหมด 20 หมู่บ้าน” นายสุรชัยกล่าว
ผู้ใหญ่บ้านร่มฟ้าฯ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ร่วมกันดูแลรักษาป่า จนมีต้นไม้และป่าไม้เพิ่มมากขึ้นในเขตภูชี้ฟ้าและดอยผาหม่น เพราะจากเดิมในช่วงฤดูแล้งจะเกิดไฟไหม้ป่าและมีการเผาป่าหญ้าคา ทำให้ต้นไม้ต่างๆ ที่กำลังเติบโตถูกไฟเผาตาย โดยชาวบ้านเริ่มทำแนวกันไฟตั้งแต่ปี 2546 และซื้อวัวมาเลี้ยงแล้วปล่อยให้กินหญ้าตามชายป่า เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าคาและหญ้าต่างๆ เป็นเชื้อเพลิงลุกลามไหม้ต้นไม้ที่กำลังจะโต นอกจากนี้ขี้วัวยังเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ ทำให้มีต้นไม้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เป็นทุ่งหญ้าคาหรือเป็นภูเขาหัวโล้น โดยตอนนี้ในเขตตำบลปอมีวัวที่ชาวบ้านปล่อยเลี้ยงอยู่ในป่าประมาณ 100 ตัว
นายประดิษฐ์ เรียวอยู่ คณะทำงานสร้างบ้านแปงเมืองพะเยา กล่าวว่า จังหวัดพะเยามีบางพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายกับที่ภูชี้ฟ้า เช่น อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน ซึ่งคณะทำงานฯ จะนำประสบการณ์จากการสัมมนาครั้งนี้กลับไปวางแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่อไป อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ร่วมกันวางแผนงานการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่รอบกว๊านพะเยา เพราะที่ผ่านมาพื้นที่รอบกว๊านประสบกับปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาน้ำแล้งในปี 2559 เนื่องจากมีการปล่อยน้ำออกจากกว๊านในปริมาณมาก ทำให้น้ำในกว๊านแห้งจนถึงผืนดิน มีปัญหาต่อระบบการผลิตน้ำประปา ประมงพื้นบ้านหากินในกว๊านไม่ได้ เกิดผลกระทบต่อ 8 ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่รอบๆ กว๊าน
“แต่เนื่องจากการบริหารจัดการน้ำในกว๊านพะเยามีหลายหน่วยงาน และมีกฎระเบียบแตกต่างกัน เช่น มีกรมประมง กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ อบต. เทศบาล ฯลฯ เช่น หากจะพัฒนากว้านโดยการขุดลอกดินก็ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ แต่เมื่อขุดลอกแล้วก็นำดินออกไปไม่ได้ ต้องทำเรื่องไปขอฝากดินจากหน่วยงานอื่น ส่วนประมงพื้นบ้านก็มีปัญหาเรื่องการทำมาหากินในกว๊าน เข้าไปจับปลาไม่ได้ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ คณะทำงานสร้างบ้านแปงเมืองพะเยาจึงร่วมกับหน่วยงานภาคีต่างๆ จัดทำ ‘ธรรมนูญกว๊าน’ ขึ้นมา เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่รอบๆ กว๊านได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ โดยจะนำเรื่องธรรมนูญกว๊านไปผลักดันเพื่อให้เห็นผลต่อไป” นายประดิษฐ์ยกตัวอย่าง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |