เชื่อว่าตั้งแต่สายๆ ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 หลายคนคงติดตามข่าวการอ่านคำพิพากษาจำเลย 38 คนในคดีที่ กปปส.ถูกฟ้องหลายข้อกล่าวหา รวมทั้งการเป็นกบฏและก่อการร้าย จนเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงวัน ก็ยังไม่มีคำพิพากษาออกมา แต่คนที่อยู่ที่ศาลมีการรายงานให้ Facebook เป็นระยะๆ ในตอนที่ยังไม่มีคำตัดสินใดๆ หลายคนก็ยังตั้งความหวังว่าน่าจะเป็นข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย และในที่สุดก็มีข่าวแรกออกมาให้ดีใจกัน นั่นคือ มีการเผยแพร่กันใน Facebook ว่า ศาลยกฟ้องข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏและก่อการร้าย ซึ่งสำหรับข้อกล่าวหานี้ หากศาลตัดสินว่าผิด ต่ำๆ ก็คือติดคุกตลอดชีวิต และถ้าหากร้ายแรงที่สุดก็คือประหารชีวิต ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาตัดสินยกฟ้องข้อหานี้ หลายคนก็ดีใจและโล่งอกไปได้ อย่างไรก็ตามข่าวดีนี้มาพร้อมกับข่าวที่ทำให้ใจคอไม่ค่อยดีเลย เพราะมีการรายงานข่าวว่า สำหรับข้อกล่าวหาอื่นๆ ถ้าจะแย่ เพราะจากถ้อยคำของการพิพากษา หลายคนคาดการณ์ว่าน่าจะมีความผิด
เวลาผ่านไปเนิ่นนานมาก จนถึงเวลาหลังหกโมงเย็นจึงได้รู้คำพิพากษาที่ลุ้นกันมาทั้งวัน ความรู้สึกของหลายคนเมื่อได้รู้คำตัดสินก็ตกใจ เพราะเชื่อว่าหลายคนไม่คิดว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างที่พวกเขาได้รับรู้กัน ทั้งนี้เพราะพวกเขาคงพิจารณาที่เจตนาและวัตถุประสงค์ของการออกมาชุมนุม ดังนั้นคำตัดสินจึงเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาตกใจ เพราะคาดไม่ถึง
นอกจากตกใจแล้ว หลายคนก็รู้สึกเสียใจในข่าวที่เห็นนั้น หลายคนร้องไห้ฟูมฟาย หลายคนรำพึงรำพันต่างๆ นานา เราเชื่อว่านอกจากภาพที่เราเห็นคนที่แสดงความเสียใจในข่าวแล้ว ยังคงมีคนที่ลุ้นอยู่ที่บ้าน ที่ทำงานอีกหลายคน ที่อาจจะอดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ เพราะพวกเขาคงรู้สึกเห็นใจจำเลยที่ถูกตัดสินให้ติดคุกกันคนละหลายๆ ปี โดยไม่มีการรอลงอาญา
อย่างไรก็ตาม ความตกใจและความเสียใจที่เกิดขึ้นนั้น ไม่มีเสียงก่นด่าหรือตำหนิศาลแต่อย่างใด หลายคนพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมศาลจึงตัดสินเช่นนั้น และเมื่อศึกษาคำพิพากษาโดยละเอียดแล้วก็เข้าใจว่า ศาลพิจารณาตัดสินแต่ละข้อกล่าวหาตามหลักฐาน ตามพฤติการณ์แห่งคดี และตามเนื้อหาของกฎหมายแต่ละมาตรา และการพิจารณาก็พิจารณาแต่ละกรรม แต่ละวาระ ทำให้การทำผิดนั้นมีหลายกระทง แต่ละกระทงก็มีโทษหนักโทษเบาแตกต่างกันไป สำหรับคนที่ทำผิดหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน จึงต้องมีโทษที่รวมกันแล้วกลายเป็นติดคุกหลายปี
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้ง 38 คนนั้นจะได้รับโทษติดคุกแบบไม่มีการรอลงอาญาทั้งหมด ยังมีคนที่มีโทษจำคุกเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปีที่มีการรอลงอาญา และก็ยังมีบางคนที่ศาลยกฟ้องทั้งหมดทุกข้อกล่าวหา ไม่มีโทษใดๆ ดังนั้นเมื่อได้เห็นการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายที่เป็นกบิลเมืองเช่นนี้แล้ว หลายคนก็บอกกับตัวเองว่า นอกจากจะเข้าใจแล้ว ก็จะต้องทำใจด้วยว่า เมื่อมีพฤติการณ์ใดที่ผิดกฎหมายตามที่ได้กำหนดไว้ก็ต้องยอมรับโทษตามคำตัดสินของศาล ในเมื่อจำเลยทั้งหลายได้พูดอย่างชัดเจนว่าน้อมรับคำตัดสินของศาล เดินหน้ารับโทษตามคำตัดสิน คนอื่นที่เป็นกองเชียร์ก็ต้องยอมรับด้วยเช่นกัน จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการร่วมอุดมการณ์อย่างแท้จริง โดยไม่กล่าวละเมิดหรือตำหนิศาล เหมือนอย่างบางกลุ่มบางพวกทำกัน
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จึงอาจจะประมวลได้ว่า เริ่มด้วยความตกใจ นำไปสู่ความเสียใจ และต้องพยายามทำความเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหนก็ต้องทำใจ โดยไม่ยอมที่จะเสียอุดมการณ์ นั่นคือการยอมรับคำตัดสินของศาล โดยไม่มีข้อแม้ ไม่ตำหนิศาล ไม่เรียกร้องศาลให้ทำตามที่ต้องการ เช่น ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวหรือเรียกร้องให้มีการประกันตัว ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นการพิจารณาของศาลโดยอิสระ ปราศจากการกดดันใดๆ เพื่อรักษาเกียรติภูมิของจำเลยทุกคนที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าจะไม่หนีไปไหน พร้อมที่จะยอมรับการตัดสินของศาล
สำหรับหลายคนที่กล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่มีอิสระและไม่ยุติธรรม (not free and not fair) นั้นควรจะเลิกพูดได้แล้ว ที่ผ่านมานั้นมีคดีของพันธมิตร คดีของ นปช. และครั้งนี้คดีของ กปปส. ก็มีทั้งที่ยกฟ้อง มีทั้งติดคุกแต่รอลงอาญา และมีทั้งติดคุกโดยไม่มีการรอลงอาญา การตัดสินแต่ละครั้งนั้น เราควรเชื่อมั่นว่าผู้พิพากษาทุกคนทำงานอย่างมีอิสระและมีความเที่ยงธรรม การกล่าวหาในลักษณะที่ละเมิดศาล หรือดูหมิ่นศาลนั้น ควรจะยุติได้แล้ว และควรจะยุติการสร้างวาทกรรมเรื่องรัฐบาลใช้ “นิติสงคราม” เพื่อปิดปากคนที่คิดต่างๆ เพราะการตัดสินคดีทั้งหลายเป็นเรื่องของฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระจากรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร รัฐบาลจะไปก้าวก่ายไม่ได้ และนายกรัฐมนตรีก็พูดชัดเจนแล้วว่าท่านไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงการทำงานของฝ่ายตุลาการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่จะถึงวันอ่านคำพิพากษา มีฝ่ายค้านบางคนออกมาตีปลาหน้าไซว่าหวังว่าจะไปฟังคำพิพากษากันครบทุกคนนะ คงไม่มีใครอ้างว่าป่วย เพื่อให้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษานะ โถ ช่างคิดนะ คงเอาความคิดของตนเองมาเป็นความคิดของจำเลยชาว กปปส. ที่ไม่มีใครขอเลื่อนแต่อย่างใด ทุกคนไปกันครบ ไม่มีใครอ้างการเจ็บป่วยเหมือนบางกลุ่มบางพวก
พอตอนเช้า จำเลยทั้ง 38 คนไปศาลกันครบอย่างองอาจ ก็มีคนแซะอีกว่า คงรู้คำตัดสินแล้วสินะว่าจะไม่โดนตัดสินที่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย ซึ่งคำพูดดังกล่าวนี้เป็นการใส่ความทั้งผู้พิพากษาและจำเลย พูดเหมือนกับว่าผู้พิพากษาปูดคำตัดสินให้จำเลยรู้ล่วงหน้าก่อนที่จะได้ฟังคำตัดสิน และก็เป็นการกล่าวหาด้วยว่าจำเลยบางคนใช้เส้นสายในการหาทางที่จะรู้คำตัดสินก่อนที่จะถึงเวลาอ่านคำพิพากษา เคยดูหนังจีน เวลาที่ใครพูดจากให้ร้ายคนอื่นแบบนี้ เขาจะพูดว่า “อย่าใช้จิตใจคนถ่อยมาตัดสินวิญญูชน” พูดแบบนี้ เข้าใจนะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |