ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จพระราชาธิบดีซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพฤหัสบดี หนึ่งวันก่อนหน้าที่สหรัฐเปิดเผยรายงานข่าวกรองลับชี้ว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวข้องกับการฆ่าชำแหละศพ "จามัล คาช็อกกี" นักข่าวชาวซาอุดีฯ ภายในสถานกงสุลซาอุฯ ที่ตุรกีเมื่อเดือนตุลาคม 2561
แฟ้มภาพ นักเคลื่อนไหวจากองค์กรความยุติธรรมเพื่อจามัล คาช็อกกี ถือรูปนักข่าวรายนี้ ระหว่างจัดแถลงข่าวเรื่องการหายตัวไปของเขาที่ด้านหน้าสำนักงานวอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561
เอเอฟพีกล่าวว่า เชื่อกันว่า รายงานลับที่คาดว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะในวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ตามเวลาสหรัฐ จะระบุโดยอ้างอิงจากข่าวกรองที่รวบรวมโดยสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) และหน่วยงานจารกรรมอื่นๆ ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งเป็นประมุขโดยพฤตินัยของราชอาณาจักรแห่งนี้ คือผู้สั่งการให้สังหารคอลัมนิสต์วิจารณ์ราชวงศ์รายนี้
เจ้าชายทรงยืนกรานปฏิเสธว่าพระองค์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ถึงแม้ว่าที่ปรึกษาใกล้ชิดของพระองค์บางคนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง
รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตั้งใจกระชับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย หลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายงานฉบับนี้ หรือพาดพิงถึงเจ้าชาย แต่ขณะนี้รายงานฉบับดังกล่าวกำลังจะเปิดเผยต่อสาธารณะในช่วงยามที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับตะวันออกกลางเสียใหม่ และนำหลักสิทธิมนุษยชนกลับมาเป็นจุดเด่นในนโยบายของสหรัฐ
ก่อนหน้าการเปิดเผยรายงาน ไบเดนได้คุยโทรศัพท์กับสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานเมื่อวันพฤหัสบดี แถลงการณ์ของทำเนียบขาวเกี่ยวกับการสนทนาทางโทรศัพท์ครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยถึงรายงานคาช็อกกี แต่ไบเดนกล่าวไว้เมื่อวันพุธว่าเขาได้อ่านแล้ว
ทำเนียบขาวกล่าวว่า ไบเดนและกษัตริย์ซาอุฯ ซึ่งมีพระชนมพรรษา 85 พรรษา หารือกันเกี่ยวกับความมั่นคงในภูมิภาคและประเด็นอื่นๆ โดยไบเดนกล่าวว่า เขาจะทำงานเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีแข็งแกร่งและโปร่งใสที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
คาช็อกกี ซึ่งเป็นนักข่าวและบรรณาธิการที่ได้รับการยอมรับนับถือ หนีจากซาอุฯ ไปใช้ชีวิตลี้ภัยในสหรัฐ เขาเขียนบทความหลายชิ้นวิจารณ์เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งมีพระชนมายุ 35 พรรษา ก่อนที่จะโดนฆ่าตายที่สถานกงสุลซาอุฯ ประจำนครอิสตันบูลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 นักข่าววัย 59 ปีรายนี้เดินทางจากสหรัฐไปยังสถานกงสุลแห่งนี้ตามคำแนะนำของเอกอัครราชทูตซาอุฯ ประจำสหรัฐ เพื่อขอเอกสารสำหรับการแต่งงานกับฮาทิซ เจนกิซ คู่หมั้นของเขาที่เป็นชาวตุรกี
ที่สถานกงสุล เขาโดนฆาตกรรมแล้วชำแหละศพเพื่อกำจัดหลักฐาน โดยฝีมือของทีมสังหารที่ส่งไปจากซาอุฯ ตามคำสั่งของซาอุด อัลกาห์ตาตี ผู้ช่วยคนสนิทของเจ้าชาย
หนึ่งเดือนหลังการฆาตกรรม รายงานวอชิงตันโพสต์ ซึ่งคาช็อกกีเป็นคอลัมนิสต์ กล่าวว่า ซีไอเอสรุปด้วยความเชื่อมั่นในระดับสูงว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดคือผู้ออกคำสั่งสังหาร
ทว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับซาอุฯ ไว้ จึงไม่กล่าวโทษอย่างเปิดเผยว่าเจ้าชายคือผู้รับผิดชอบต่อการสังหาร ทั้งที่รัฐบาลสหรัฐเรียกร้องให้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิด
รายงานของวอชิงตันโพสต์กล่าวว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐมีหลักฐานสำคัญหลายชิ้นที่ชี้ไปยังเจ้าชาย หลักฐานหนึ่งคือคำสนทนาโทรศัพท์ที่เจ้าชายตรัสกับเจ้าชายคาลิด บิน ซัลมาน พระอนุชา ที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐ ให้ส่งตัวคาช็อกกีไปสถานกงสุลตุรกีเพื่อขอเอกสารแต่งงาน
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากข่าวกรองตุรกีที่บันทึกเสียงการฆาตกรรมในสถานกงสุลไว้ได้ ที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในและระบุตัวผู้ร่วมก่อเหตุและการติดต่อระหว่างทีมสังหารกับซาอุฯ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |