26 ก.พ. 2564 น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยใน Media Briefing เรื่อง คลายข้อจำกัดธุรกิจไทย ฝ่าภัยโควิด ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในช่วงสิ้นปี 2563 แต่จากการระบาดระลอกใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มสะดุดตัวลง ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2564 จะปรับตัวลดลงจากที่คาดไว้ และจะค่อย ๆ ปรับฟื้นตัว ทำให้เดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวในระดับก่อนโควิดช่วงไตรมาส 3/2565 ก็จะเลื่อนออกไปอีก 1 ไตรมาส  

“การระบาดระลอกใหม่ทำให้เดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 ก็จะชะลอออกไปอีก 1 ไตรมาส โดยทิศทางจากนี้ ในระยะครึ่งหลังของปี หากไทยจะได้รับวัคซีนตามแผนไม่น้อยกว่า 50% และสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยว และเที่ยวบินต่างประเทศ ถ้าเป็นไปตามแผน เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวตามที่คาดไว้” น.ส.ชญาวดี กล่าว

อย่างไรก็ดี จากการระบาดระลอกใหม่ แม้ว่าจะระบาดรุนแรงกว่ารอบแรกในช่วงเดือน เม.ย. แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ได้รุนแรงมาก เนื่องจาก 1.มาตรการควบคุมไม่ได้เข้มข้นเท่าเดิม 2.ภาครัฐสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วกว่า 3.มีการออกมาตรการดูแลค่าครองชีพ กระตุ้นใช้จ่าย มาตรการสภาพเสริมคล่อง และมาตรการภาษีลดภาระภาคเอกชนทันทีซึ่ง จากมาตรการที่ดูแลรวดเร็ว ผลกระทบไม่ได้รุยแรงเท่าครั้งแรก 

น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า จากการระบาดระลอกใหม่ เมื่อมองไปข้างหน้าจะต้องติดตามระมัดระวังในเรื่องความเสี่ยงคุณภาพสินเชื่อ แนวโน้มเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นบ้าง เนื่องจากบางมาตรการดูแลหนี้จะหมดอายุลง รวมทั้งรายได้ภาษีรัฐบาลจะจัดเก็บได้น้อยลง มีผลต่อแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่าง ๆ ในระยะต่อไป ทำให้มีความไม่แน่นอนเศรษฐกิจไทยอีกมากในระยะข้างหน้า 

ทั้งนี้ จากการระบาดระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดรอบแรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาคบริการ ก่อสร้าง ภัตตาคาร ร้านอาหาร การค้า และในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์คอนโด โรงแรม ที่เน้นตลาดต่างชาติ อาจจะต้องการความช่วยเหลือ ใช้มาตรการดูแลที่แตกต่างจากหลาย ๆ กลุ่ม ซึ่งกลุ่มนี้มีการจ้างงาน 1 ใน 3 ของการจ้างงานทั้งประเทศ การดูแลช่วยเหลือ พยุงธุรกิจ จะเป็นข้อต่อสำคัญ จะส่งต่อผลดีไปยังภาคตลาดแรงงาน