ถือเป็น วันแห่งประวัติศาสตร์ยุค “มหาไวรัส” อาละวาด เมื่อวัคซีนล็อตแรกของ “บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด” จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 200,000 โดส น้ำหนัก 2.6 ตัน เดินทางมาถึงเขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินขนส่งสินค้า “TG 675” ของการบินไทยแล้ว และในช่วงบ่ายถึงคิววัคซีนอีกยี่ห้อ “แอสตร้าเซนเนก้า” จำนวน 117,000 โดส ซึ่งก็เป็นไปตามที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ได้เป็นประธานรับมอบ “วัคซีนซิโนแวค” นั่นแลที่ว่า “ไม่ว่าจะวัคซีนล็อตไหนก็ตาม เป็นวัคซีนของคนไทยทั้งประเทศ” ...๐ จะเห็นความแตกต่างอย่างมากใน การรับวัคซีนทั้ง 2 ยี่ห้อแบบหน้ามือกับหลังมือทีเดียว เพราะของ “ซิโนแวค” นั้น ตีฆ้องร้องป่าว มีภาพมีการจัดงาน พร้อมรายละเอียดแบบให้คนเล่น “หวย” ได้นำไปตีความกันเมามัน ไม่ว่าจะเป็น จำนวนวัคซีนซิโนแวค, สายการบินแอร์บัส A350-900 เที่ยวบิน TG 675, เลขตู้คอนเทนเนอร์ RAP80538PC และเลขรถของการบินไทยที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ 2T526 แต่ของ “เเอสตร้าเซนเนก้า” นั้นมาแบบซุ่มๆ เงียบๆ ไม่รู้ที่มาที่ไปแม้แต่น้อย ...๐ แต่ด้วยจำนวนรวมกว่า 3 แสนโดสนี่เอง ทำให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ที่นำทีมไปตรวจนับแกะกล่องโชว์ “วัคซีนขวดแรก” ของไทย ที่คลังเก็บสินค้าศรีเพชร จ.สมุทรปราการ ถึงกลับกล้าประกาศว่า “พูดได้คำเดียวว่า วันนี้ประเทศไทยมีวัคซีนในมือมากที่สุดในทวีปเอเชีย และถ้านับจำนวนประชากรหรืออัตราส่วนประเทศไทยก็ไม่แพ้ใครในโลกนี้"…๐ แต่ที่ “ขาเมาธ์” งงงันกันอย่างมากในการตรวจวัคซีนครั้งนี้ของ “หมอหนู” คือการมี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคมประกบคู่ไปด้วย และยิ่งข่าวความระหองระแหงจากผลการลงมติไม่ไว้วางใจที่บรรดาลูกพรรคพลังประชารัฐ 6 รายสวนมติพรรค ซึ่ง “ภูมิใจไทย” ยังติดใจจนหัวหน้าพรรคประกาศลั่นในที่ประชุมสมาชิกพรรคเมื่อวันอังคารว่าจะทวงศักดิ์ศรี “เลขาธิการพรรค” อย่าง “ศักดิ์สยาม” คืนมาก็เข้าใจได้ว่าทำไม “น้องเนวิน” จึงไปร่วมตรวจวัคซีนแม้จะทะแม่งก็ตามที ...๐ ส่วนกรณี “ขาเกลียด” บิ๊กตู่ในโลกออนไลน์ทั้งหลายที่ตำหนิติติง จนถึงขั้น ประชดแดกดันนายกฯ ที่ชูวัคซีน 2 ขวดในการรับวัคซีนนั้น ต้องบอกว่าอนาถอย่างยิ่ง เพราะไม่ต่างจากการแค่หายใจก็ผิดแล้ว ซ้ำร้ายการตำหนิติติงยังไร้ซึ่งความรู้อีกต่างหากว่านั่นมันคือ “พร็อพ” เท่านั้น แหม! จะชังชาติชังประเทศทั้งทีก็ให้มีความรู้ความเข้าใจกันบ้างก็น่าจะดี ...๐ ซึ่งไม่แปลกใจแต่ประการใด เพราะ ขนาดรองหัวหน้าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เขตมากที่สุดอย่าง “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ “ธนวัฒน์ วงค์ไชย” หรือบอล แกนนำกลุ่มวิ่งไล่ลุง และแนวร่วมม็อบราษฎรก็มา ปั่น “เฟกนิวส์” ว่าด้วยการอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกรวม 39 คน ฐานร่วมกันเป็นกบฏ และข้อหาอื่นๆ กรณีชุมนุมขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีขณะนั้นว่าจะมีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปเดือน พ.ค. ทั้งที่ความจริงที่กระแสปั่นออกมานั้น ศาลยังออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาอยู่เลย ...๐ จึง ไม่แปลกที่ “ชูชาติ ศรีแสง” อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กเสนอให้ "สำนักงานศาลยุติธรรม” ต้องแจ้งความ ดำเนินคดีในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ควรกระทำให้เป็นเยี่ยง ไม่ใช่เฉพาะสำนักงานศาลยุติธรรมเท่านั้น แม้แต่ “ดีอีเอส”  ก็ควรต้องมาดำเนินการด้วย ไม่ใช่มาไล่จับไล่ฟ้องบรรดา “ปลาซิวปลาสร้อย” ...๐ เรียกว่าเป็นข่าวใหญ่กลบข่าว “วัคซีน” อย่างแท้จริง สำหรับคำพิพากษาของศาลอาญาในคดีนี้ ทำให้ใครต่อใครก็ไม่สามารถมาติติงกระบวนการยุติธรรมได้ เพราะ “คุก” ระนาวไล่มาตั้งแต่ “กำนันเทือก” จนถึงบรรดารัฐมนตรีใน “รัฐนาวาประยุทธ์” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่รังเกียจกันหนักหนาก็ทำให้ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดีอีเอส, “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ และ “ถาวร เสนเนียม” รมช.คมนาคม ต้องพ้นตำแหน่งทันที ...๐ คดีดังกล่าวอย่างน้อยก็ มี 12 รายที่ได้รับยกฟ้อง อาทิ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย, รังสิมา รอดรัศมี, แก้วสรร อติโพธิ, ไพบูลย์ นิติตะวัน และ ถวิล เปลี่ยนศรี ...๐ นับจากนี้คงได้เห็นการวิ่งและล็อบบี้กันวุ่นโดยเฉพาะผู้ที่วาดหวังในเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เพราะทั้งกระทรวงศึกษาธิการและดีอีเอสนั้นต้องบอกว่าอยู่เกรดเอและบี โดยเฉพาะศึกษาธิการนั้นมีงบประมาณในระดับท็อปทรีของงบประมาณในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตลอดเสียด้วย ...๐