17 พ.ค. 61 -  ที่โรงแรมรัตโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน มีการจัดงานเสวนา “วิสัยทัศน์ผู้นำพรรคการเมือง” จัดโดยคณะกรรมการพฤษภา 35 และมูลนิธิ พฤษภาประชาธรรม โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย  นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย ร่วมเสวนา

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า การเมืองไทยปัจจุบันถดถอย จากช่วงหลังปี 35 อย่างชัดเจน ต้องถามว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ เราต้องการการเมืองที่เดินไปข้างหน้า อย่างก้าวหน้า โดยไม่มีการสะดุด ล้มลงอย่างที่ผ่านมาหรือไม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้เกิดคำถามว่าการเมืองจะเดินหน้าได้มากน้อยแค่ไหน ตนได้ประกาศก่อนทำประชามติ แล้วว่าจะไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยมีเหตุผล คือ คณะผู้ร่างฯ นำความคิดเกือบ 40 ปีที่แล้วที่ระบุว่าการจัดการการเมืองหลักการเลือกตั้งต้องอาศัย กลุ่มบุคคลอีกกลุ่มนึง คือ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน เป็นพี่เลี้ยงเพื่อประคับประคอง 

"แต่วันนี้ประเทศไทยเดินหน้ามาไกล ทั้งกรณีการตื่นตัวของประชาชน และโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่ซับซ้อนกว่าเดิม จึงขอให้พึงระวังว่า ส.ว. ทั้ง 250 คนจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งใหม่"  

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนจะมีการยุบสภา ได้มีการตั้งคณะกรรมการที่ศึกษาเรื่องการปฏิรูปและการขับเคลื่อนในสมัยผมนั้น ได้ข้อสรุปว่า ขอให้ปฏิรูปโดยยึดแนวทาง ลดอำนาจ รัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ซึ่งจะได้คำตอบทั้ง การปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปท้องถิ่น  โดยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิรูปการศึกษา คือการกระจายอำนาจการบริหารจัดการให้ลงถึงระดับโรงเรียน โดยกระทรวงทำหน้าที่เพียงจัดสรรงบประมาณและประเมินคุณภาพเท่านั้น  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับอำนาจที่เพิ่มขึ้นของประชาชนที่จะก่อให้พลังในการขับเคลื่อน เช่นเดียวกับการลดอำนาจของพรรคการเมือง และนักการเมือง นี่คือสิ่งที่ พรรคประชาธิปัตย์ต้องการนำเสนอ ในการเลือกครั้งต่อไป

“ขณะที่แผนการปฏิรูปนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามีคนอ่านหรือไม่ แต่ผมไม่แนะนำ เพราะมีจำนวนถึง 2,000 หน้า  เมื่อผมอ่าน จึงพบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แผนปฏิรูป แต่เหมือนแผนเขียนของบประมาณ สำหรับทำโครงการของหน่วยงานราชการ ซึ่งการปฏิรูปนั้น ต้องมีหลักก่อนว่าจะปฏิรูปไปในทิศทางไหน ขณะที่ความเข้าใจของพล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่า รถไฟรางคู่ หรือการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคนั้น เป็นการปฏิรูปทั้งหมด ผมต้องขอเรียนว่ามันไม่ใช่ เพราะการปฏิรูปหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวตอนหนึ่งว่า หากเปรียบเทียบการสืบทอดอำนาจวันนี้กับเหตุการณ์ปี  35 ยุคนี้ถือว่ารุนแรงกว่า เพราะปี 35 มีความพยายามสืบทอดอำนาจของทหารเหมือนกัน แต่ขณะนั้นไม่มีการวางกลไกกติกาที่ทำให้เกิดปัญหาการทำงานในอนาคต แต่ปัจจุบันการกระทำพิสูจน์เป็นเจตนาเพราะวันแรกที่รัฐประหารบอกจะแก้ความขัดแย้ง ใช้เวลาไม่นาน แต่ 4 ปี มานี้ ทำให้เห็นว่าโรดแมปไม่ได้คืนประชาธิปไตยให้ประชาชน แต่เป็นโรดแมปการันตีการกลับสู่อำนาจของผู้มีอำนาจต่อ 

"เห็นได้จากการเขียนรัฐธรรมนูญโดยไม่ยึดโยงประชาชน มีการทำลายระบบตัวแทนประชาชน ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไร จะมีคนที่เชื่อว่าเป็นคนดีมาชี้ว่าใครจะขึ้นสู่อำนาจ กระบวนการทั้งหลายจึงเลวร้ายกว่าปี 35 เยอะ แม้ทั้งสองเหตุการณ์จะมีเจตนาเหมือนกัน แต่ปี 35 การปฏิบัติยังอยู่ในครรลองมากกว่า แต่วันนี้ถูกบิดตั้งแต่ รัฐธรรมนูญ กฎหมายและเงื่อนไขทุกอย่าง เพียงแค่ระบบเลือกตั้ง แยกเบอร์แยกเขต ก็ยังมีความพยายามตอดเล็กตอดน้อย"คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ด้านนายสรอรรถ กล่าวถึงในอนาคตพรรคภูมิใจไทยจะจับมือกับคสช. หรือไม่ ว่าตนขอพูดด้วยความเห็นส่วนตัวว่า คำถามนี้เร็วไป โดยธรรมชาติ เรื่องการเมืองจะคุยกันหลังเลือกตั้ง ทั้งนี้ขอย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามกติกา ระบบการเลือกตั้ง ถ้าเข้ามาตามครรลองถูกต้อง ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ เพราะเวลาเลือกตั้งไม่มีพรรคทหาร พรรคเผด็จการ เพราะทุกคนเข้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้นอย่าไปตีกรอบให้ติดกับดักตนเอง  เพราะนำไปสู่ทางตัน  

"แต่ผมคิดว่าวันนี้นักการเมืองสามารถตกลงกันได้ แม้ว่าเราจะเป็นพรรคเล็ก แต่การเมืองในมิติใหม่ ไม่มีข้อจำกัด อย่างที่เคยมีคนบอกว่าพรรคการเมือง ลำดับ1 หรือ2 จะทำงานร่วมกันไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าโอกาสเป็นไปได้ ถ้ามีเหตุผลเหมาะสมพอ เราอยากเห็นบรรยากาศที่พรรคการเมืองคุยด้วยกันจะเป็นทางออกที่ดีในระบอบประชาธิปไตย"นายสรอรรถ กล่าว.