โลกตะวันตกยังกดดันผู้นำทหารเมียนมาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มจี7ออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐประหาร คล้อยหลังอียูแซงก์ชันและสหรัฐเพิ่มชื่อ 2 นายทหารพม่าในแบล็กลิสต์

แฟ้มภาพ ผู้ประท้วงร้องไห้ขณะชูป้ายข้อความต่อต้านรัฐประหารที่ด้านนอกสำนักงานสารสนเทศขององค์การสหประชาชาติในย่างกุ้งเมื่อวันอาทิตย์

    เอเอฟพีรายงานแถลงการณ์ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ ที่ประกอบด้วย แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, อังกฤษ และสหรัฐอเมริกัน ร่วมด้วยสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ ประณามว่า "การใช้กระสุนจริงกับประชาชนที่ไร้อาวุธเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้" และว่า ใครก็ตามที่โต้ตอบการประท้วงอย่างสันติด้วยความรุนแรงจะต้องรับผิดชอบ

    พร้อมกันนั้น คำแถลงยังเรียกร้องให้กองกำลังความมั่นคงของเมียนมาใช้ความอดกลั้นถึงที่สุด และเคารพสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ

    ถ้อยคำประณามของจี 7 มีออกมาภายหลังรัฐบาลสหรัฐประกาศเพิ่มรายชื่อสมาชิกในรัฐบาลทหารพม่าอีก 2 คนเข้าบัญชีดำคว่ำบาตรเมื่อคืนวันจันทร์ ได้แก่ พลอากาศเอกหม่อง หม่อง จอ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และโม มยิน ตุน สมาชิกในคณะรัฐบาลทหาร เพิ่มเติมจากรายชื่อนายพลระดับสูงของพม่าที่โดนคว่ำบาตรเมื่อต้นเดือนนี้

    แอนโธนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะไม่ลังเลที่จะดำเนินการเพิ่มเติมกับพวกที่ใช้ความรุนแรงและปราบปรามเจตจำนงของประชาชน

    ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น สหภาพยุโรปอนุมัติการคว่ำบาตรแบบเจาะจงกับบรรดานายทหารเมียนมาและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบุคคลเหล่านี้ โดยโจเซป บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู กล่าวว่า การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการปฏิรูปของรัฐบาลของถูก "ระงับ" เช่นกัน

    ภายในเมียนมา ประชาชนยังคงออกมาชุมนุมประท้วงในหลายเมือง ถึงแม้ว่าที่นครย่างกุ้ง จำนวนผู้ชุมนุมจะน้อยลงกว่าเมื่อวันจันทร์ ที่เมืองมิตจีนารัฐกะฉิ่นในภาคเหนือที่เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ผู้ประท้วงขับขี่รถจักรยานยนต์ไปทั่วเมืองพร้อมกับโบกธงชาติและชูสามนิ้ว ส่วนที่มัณฑะเลย์ที่มีผู้ประท้วงโดนยิงตาย 2 คนเมื่อวันเสาร์ ฝูงชนมาร่วมพิธีศพของชายวัย 37 ปีหนึ่งในคนที่โดนยิงตาย.