ทุกวันนี้พฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทยมีอัตราเฉลี่ยลดลง หนึ่งในปัญหาสำคัญคือโอกาสในการเข้าถึงหนังสือหรือข้อมูลของประชาชนมีน้อย ขาดการส่งเสริมการอ่าน ขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการสร้างวัฒนธรรมการอ่านและการผลิตหนังสือ ห้องสมุดที่ผุดขึ้นในปัจจุบันหลายแห่งมีค่าสมัครสูงเพื่อแลกกับการอ่าน
ในระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่พบปัญหาไม่มีสถานที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน ตำบล หรือชุมชน หรือที่เปิดให้บริการก็มีสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการอ่านหนังสือ หนังสือที่อยากอ่านไม่มีในระบบ บางแห่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเพียงสถานที่จัดเก็บหนังสือเสียมากกว่า ทั้งที่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ควรเป็นที่ที่คนทุกเพศทุกวัย เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ สามารถถึงได้ง่าย เท่าเทียม
ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ และต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างวัฒนธรรมหนังสือให้เกิดขึ้นในบ้านเรา ล่าสุด มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มูลนิธิวิชาหนังสือ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันไทยศึกษา เรื่องความร่วมมือการส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทยที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)
พิธีลงนาม MOU ระหว่าง สวธ. มูลนิธิวิชาหนังสือ และจุฬาฯ ส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของไทยครั้งแรก
อิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า เอ็มโอยูครั้งนี้เป็นวาระสำคัญของชาติที่จะนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือ เพราะหนังสือเป็นเครื่องมือ ทำให้มนุษย์มีการสื่อสารซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การถ่ายทอดจินตนาการ และการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีการบันทึกเป็นภาพเขียนสีในถ้ำ การประดิษฐ์อักษรของแต่ละชาติ ประเทศไทยมีลายสือไทยตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นต้นมา จากตัวหนังสือที่เขียนลงบนหิน ใบลาน สมุดข่อย จนเป็นกระดาษในปัจจุบัน เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้น หนังสือก็เปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอลมากขึ้น
รมว.วธ. บอกว่า การพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของชาติตามนโยบายหลัก 4 ประการของกระทรวง คือ การมีส่วนร่วมกับภาคสังคม โดยส่งเสริมงานวิชาการระดับท้องถิ่น ตั้งแต่ชาวบ้าน ครูอาจารย์ ครูภูมิปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ ซึ่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรมมีทั้งกลุ่มงานด้านการศึกษา และกลุ่มงานด้านวัฒนธรรม การค้นคว้าวิจัย
“ เอ็มโอยูมีข้อตกลงและเวลาการวิจัยหนึ่งปีเพื่อจะผลักดันเรื่องแผนปฏิบัติการวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทยเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติแผนปฏิบัติการ ซึ่งเป็นแผนระดับสามเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และประกาศให้หนังสือเป็นวัฒนธรรมของชาติ “ นายอิทธิพล กล่าว
สำหรับความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้จะมีการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน จุฬาฯ เป็นภาคีหลักดำเนินการวิจัย ส่วนมูลนิธิวิชาหนังสือจะส่งเสริมระบบหนังสือในมิติต่างๆ ครบถ้วน ตั้งแต่การประพันธ์จนถึงอุตสาหกรรมหนังสือ และให้กำลังใจร้านหนังสือต่างๆ ที่ยังเปิดกิจการ
“ การประกาศวัฒนธรรมหนังสือเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบเรื่องหนังสือเพียงหน่วยงานเดียว ง่ายต่อการจัดระเบียบระบบต่างๆ เพราะปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ เช่น วธ. มีกรมศิลปากรที่จัดทำหอสมุดแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่จัดทำห้องสมุดประชาชน และกระทรวงอื่นๆ ก็มีการดำเนินการ แต่ไม่มีกระทรวงหลัก ดังนั้น แผนปฏิบัติการนี้จะมีการจัดระบบ มีแผนงานโครงการ และมีงบประมาณเพื่อความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น “ นายอิทธิพล กล่าว
ด้าน ชาย นครชัย อธิบดี สวธ. กล่าวว่า เอ็มโอยูฉบับดังกล่าวกำหนดให้มีการจัดทำแผนพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2569 ) มีเป้าหมายให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการอ่านหนังสือ และสื่อการเรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพอย่างเท่าเทียม อีกทั้งร่วมกันเผยแพร่และประกาศนโยบาย หนังสือ คือ วัฒนธรรมของชาติ รณรงค์เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและส่งเสริมรากฐานของวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศ และกลไกการเผยแพร่หนังสือทุกรูปแบบ
มกุฏ อรฤดี เลขานุการมูลนิธิวิชาหนังสือ และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีห้องสมุดและสำนักพิมพ์ที่ส่งเสริมการอ่าน แต่ยังไม่มีการจัดทำระบบหนังสือของชาติ จึงไม่อาจจะรู้ได้ว่า แต่ละปีมีการผลิตหนังสือออกมากี่เล่ม มีเรื่องอะไรบ้าง มีสาระสำคัญอะไรบ้าง ประชาชนเข้าถึงและเข้าไม่ถึงหนังสือมีจำนวนเท่าไหร่ เมื่อไม่มีข้อมูลเลย จะพัฒนาประเทศต่อไปไม่ได้
“ การจัดทำระบบหนังสือนี้เป็นครั้งแรก โดยมอบหมายให้สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ รวบรวมประมวลผลเกี่ยวกับปัญหาระบบหนังสือ ระบบความรู้ของประเทศ โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กเยาวชนไปจนถึงผู้สูงอายุ ด้วยการใช้โจทย์จากความไม่รู้ดังกล่าวมาศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ชุดข้อมูลตอบโจทย์ที่สำคัญ คือ มีคนในประเทศจำนวนเท่าไหร่ที่เข้าไม่ถึงหนังสือ ซึ่งจะไม่พิจารณาแค่ความรู้ผิวเผินที่เกิดจากอินเทอร์เน็ต แต่ต้องเป็นความรู้ที่แตกฉานจากการอ่านหนังสือโดยแท้จริง ซึ่งจะศึกษาห่วงปัญหา 14 ห่วง เช่น ผู้ผลิต นักเขียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา แล้ววิเคราะห์ หาทางแก้ปัญหาเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หลังวิจัย 1 ปี สวธ. จะเสนอให้หนังสือคือวัฒนธรรมของชาติ ทั้งการส่งเสริม การผลิตหนังสือเล่มและอีบุ๊ก ส่งผลให้มีผู้ดูแลระบบหนังสือจริงจัง “ มกุฏ กล่าว
เลขานุการมูลนิธิฯ ย้ำที่ผ่านมาเราไม่เคยมีระบบหนังสืออย่างจริงจัง เราไม่อาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกดีใจและตื่นเต้นกับหนังสือกระดาษ คนไทยจึงเข้าหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ความรู้ที่ได้รับไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ที่น่าห่วง คือ ชาวบ้านเข้าไม่ถึงองค์ความรู้ของชาติมีมากถึง ร้อยละ 80 ดังนั้น การสร้างระบบหนังสือนี้ขึ้นมาเป็นการสร้างทัศนคติให้คนไทยอ่านหนังสือรูปเล่ม สร้างสิ่งจูงใจให้เห็นประโยชน์จากการอ่านหนังสือ จะทำให้คนที่เข้าไม่ถึงองค์ความรู้ได้เข้าถึง และนำไปใช้พัฒนาตนเอง พัฒนาชาติ
การเดินไปให้ถึงเป้าหมาย มีภาคีสำคัญ คือ จุฬาฯ ศ.ดร.จักรพันธุ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมหนังสือ เพื่อสร้างคุณภาพคนไทยให้มีความรู้และจินตนาการที่ทันยุคสมัยพร้อมจะแข่งขันในเวทีโลก เพราะการอ่านสร้างองค์ความรู้ นำไปสู่การคิดต่อยอด การพัฒนา และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หนังสือสามารถสร้างคุณภาพคนและสร้างพื้นฐานที่ดีของชาติได้ แม้ปัจจุบันบทบาทของหนังสือ สิ่งพิมพ์ จะลดลงไป แต่การอ่านยังเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นกลไกขับเคลื่อนพัฒนาการของสังคมไม่ด้อยไปกว่าอดีต จุฬาฯ จึงสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือไทย งานวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง