รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนจะประชุม “วาระด่วน” เรื่องวิกฤติเมียนมาเมื่อไหร่หรือไม่ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญที่ประเทศไทยควรจะต้องถือเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ครบทุกมิติ
เร็ทโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอินโดนีเซีย เพิ่งเดินสายเพื่อซาวเสียงเพื่อนๆ อาเซียนว่าจะเอาอย่างไรกับเหตุการณ์ในเมียนมา
สัปดาห์ที่ผ่านมา เธอไปบรูไนซึ่งเป็นประธานกลุ่มอาเซียนบรูไน เพื่อพร้อมแนวความคิดที่ว่า ประชาคมอาเซียนควรจะเป็นกลไกที่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมียนมาได้ดีกว่าที่เห็นอยู่
นอกจากนี้เธอก็บอกว่า ได้หารือกับแอนโธนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ
อีกทั้งยังได้ต่อสายคุยกับบรรดารัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร รวมไปถึงทูตขององค์การสหประชาชาติ
ไม่ใช่แค่อินโดนีเซียเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเรื่องพม่า
รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ วิเวียน บาลากริชนัน ก็ได้แสดงความกังวลต่อการที่กองทัพเมียนมาได้ปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง การจับกุมนักการเมือง และการตัดอินเทอร์เน็ต
เขาเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนางอองซาน ซู จี และประธานาธิบดีวิน มินต์
ปล่อยแล้วก็จะได้หาทางให้ทั้งสองฝ่ายได้นั่งลงเจรจากัน
หาทางออกทางการเมืองที่ประชาชนคนเมียนมาจะยอมรับ
สิงคโปร์แสดงจุดยืนก่อนหน้านี้ว่าไม่สนับสนุนการคว่ำบาตรเมียนมาแบบ “เหวี่ยงแห” เพราะจะมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากที่เผชิญกับความยากจนอยู่แล้ว
สหรัฐเรียกวิธีการคว่ำบาตรแบบเฉพาะเจาะจงว่า Targetted Sanctions ซึ่งหมายถึงการใช้มาตรการที่พุ่งเป้าไปที่ผู้นำกองทัพและธุรกิจที่กองทัพมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
สิงคโปร์ต้องเดือดร้อนด้วยเหตุผลหลายประการ
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ลงทุนในเมียนมาสูงที่สุดใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นยอดการลงทุนที่มากกว่าจีนและไทยด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีชายแดนติดกัน
แรงกดดันมาลงที่บริษัทร่วมลงทุนของสิงคโปร์ในเมียนมากำลังมาจากหลายแหล่ง รวมถึงนักเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อต้าน เพราะต้องการให้สิงคโปร์แสดงจุดยืนว่าไม่ทำธุรกิจกับรัฐวิสาหกิจที่มีกองทัพเมียนมาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
ประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่มีจุดยืนคล้ายกันคือมาเลเซีย
ก่อนหน้านายกฯ มูยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ว่าอาเซียนต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงถึงความกังวลต่อสถานการณ์ในเมียนมา
ตอกย้ำคำว่า “อาเซียนเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน”
แปลว่าสมาชิกทั้ง 10 ต้องมีความรู้สึกว่ามีชะตากรรมเดียวกัน ร้อนก็ร้อนด้วยกัน หนาวก็หนาวด้วยกัน
แต่บางประเทศก็มีท่าทีหันรีหันขวางอยู่เหมือนกัน
แรกเริ่มที่เกิดเรื่อง ฟิลิปปินส์บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาเป็น ”กิจการภายใน”
แต่เมื่อเรื่องราวบานปลาย มะนิลาก็เรียกร้องให้มีการ “ฟื้นฟูสถานะทางการเมืองของเมียนมาให้กลับไปดั่งเดิม”
เวียดนามเรียกร้องให้เมียนมากลับมา “ฟื้นฟูให้สถานการณ์กลับมามั่นคงตามปกติ”
เป็นการใช้ภาษากว้างๆ ที่ยังแฝงไว้ด้วยความเกรงใจ แต่ไม่แสดงความห่วงใยเลยก็ไม่ได้
ไทยกับกัมพูชาบอกว่าการยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาถือเป็น ”กิจการภายในประเทศ”
นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าจุดยืนของไทยก็เหมือนกับของอาเซียนและสหประชาชาติ ซึ่งก็เหมือนไม่ได้บอกอะไร
เพราะจุดยืนอาเซียนถึงวันนี้มีแต่เพียงแถลงการณ์ของประธานอาเซียนปีนี้คือบรูไน
และแถลงการณ์ร่วมของผู้นำอินโดฯ, มาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีดีกรีของเสียงเรียกร้องที่ชัดเจนกว่าของไทยเราอย่างมาก
เท่ากับว่าไทยเราได้สูญเสียความเป็นผู้ร่วมริเริ่มให้มีการแก้ไขปัญหาของเพื่อนบ้านที่สำคัญอย่างเมียนมาไปโดยปริยาย
ทั้งๆ ที่ไทยเราอยู่ในฐานะที่สามารถเป็นแกนประสานกับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ กับมหาอำนาจทั้งหลายเพื่อเป็น “สะพานเชื่อม” กับผู้นำในเมียนมาเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
โดยเคารพในความต้องการของประชาชนคนเมียนมามากกว่าความกังวลต่อผลกระทบที่จะมีต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำทหารไทยและเมียนมา
การทูตไทยที่หมดมนต์ขลังในช่วงหลังนี้มาจากสาเหตุอันใด จะได้วิเคราะห์กันต่อไปในคอลัมน์นี้ครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |