พวกเขาเป็นคนยุคใหม่ที่ถูกบ่มเพราะทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมืองด้วยชุดความรู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ บางครั้งพฤติกรรมของเขาก็ย่ำยีธงชาติ โดยไม่สนใจความหมายเชิงสัญลักษณ์ของธงชาติ หลายครั้งที่เขาพูดจาดูหมิ่นดูแคลนประเทศไทยในลักษณะของคนที่ชังชาติ ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน พวกเขาไม่เอาศาสนา ไม่เอาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามอันเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทย พวกเขาไม่รู้จักคำว่าบุญคุณ มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และแผ่นดินเกิด พวกเขาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แสดงความอาฆาตมาดร้าย พยายามที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคำพูดและข้อเขียนหลายครั้งหลายคราที่แสดงว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย พวกเขาไม่ต้องการที่จะให้ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์พวกเขาอยากให้ประเทศไทยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเขาไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ เพราะคนไทยมากกว่า 90% ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะดำรงสถาบันหลักของประเทศให้มีความยั่งยืนสืบต่อไปอีกนานแสนนาน ในตอนแรกคนไทยที่ภักดียังเป็นพลังเงียบ ไม่ได้แสดงออกอะไรมากนัก ทำให้พวกที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเกิดอาการเหิมเกริม กระทำการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พูดจาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ด้วยเนื้อหาที่เป็นเท็จ บิดเบือนความเป็นจริง เข้าข่ายการทำผิดกฎหมายมาตรา 112 โดยอ้างเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นทำให้ประชาชนผู้ภักดีรู้สึกเจ็บปวดและไม่ต้องการที่จะอดทนต่อไป จากพลังเงียบจึงมีการแสดงออกกันอย่างเข้มแข็ง จนพวกเขาต้องยกระดับการต่อสู้รุนแรงขึ้น ในการยกระดับของการต่อสู่ที่รุนแรงขึ้นนั้นแทนที่พวกเขาจะเข้าใกล้หลักชัย พวกเขากับต้องพบกับความพ่ายแพ้ที่จะนำไปสู่ความย่อยยับอัปราชัย
พวกเขาจัดทัพถึง 4 ทัพในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่บัดนี้ชัดเจนแล้วว่า ทั้ง 4 ทัพนั้นไม่อาจจะต่อกรกับประชาชนผู้จงรักภักดีได้ กองทัพที่ 1 ของเขาก็คือนักวิชาการ ที่เป็นเสมือนผู้นำความคิดที่คอยให้ข้อมูลครอบงำความคิดและชี้นำพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ออกมาชุมนุมในฐานะประชาชนปลดแอกหรือคณะราษฎร 63 นักวิชาการเหล่านี้อยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลให้เด็กๆ เกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการให้ข้อมูลที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ ในช่วงต้นๆ พวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เด็กๆ ก็ตาสว่าง และถอยออกไป บางคนอาจจะถอยออกไปเพราะตาสว่างด้วยตนเอง เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติม บางคนก็ตาสว่างเพราะพ่อแม่ที่ห่วงอนาคตของลูกสามารถที่จะเปลี่ยนใจลูกๆ ได้ บางคนก็อาจจะเกิดความกลัวเมื่อเห็นว่าแกนนำที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น โดยหมายจับเพราะทำผิดกฎหมาย มาตรา 112 บ้าง มาตรา 116 บ้าง ในที่สุดจึงออกมายอมรับว่าคงไปต่อไม่ได้แล้วเพราะประชาชนไม่เอาด้วย
กองทัพที่ 2 ของเขาคือ หนึ่งหญิง สองชาย ที่ออกมาแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการให้สัมภาษณ์ การเขียนข้อความบนพื้นที่ Social Media การทำคลิปแบบ Live Streaming การแสดงปาฐกถา การอภิปราย การปราศรัย ในตอนแรกดูเหมือนว่าพวกเขาประสบความสำเร็จไม่น้อย เพราะมีเด็กนักเรียนนักศึกษาออกมาร่วมชุมนุม ปราศรัยโจมตีสถาบัน ถือป้ายดูหมิ่นสถาบัน แสดงกิริยาล้อเลียนสถาบัน แต่แล้วในที่สุด ประชาชนที่ยังจงรักภักดีก็ไม่ยอมให้พวกเขาเดินหน้าต่อไปได้ ไปที่ไหนก็โดนโห่ไล่ พร้อมกับต้องเผชิญกับการร้องเพลง “หนักแผ่นดิน” ไล่ จนดูเหมือนจะไม่มีที่ยืนบนผืนแผ่นดินไทย ฟางเส้นสุดท้ายก็คือ การทำ Live Streaming สร้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องการจัดหาวัคซีนของประเทศไทยที่เป็นการหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ เป็นการเดินทัพที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง จนต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ย่อยยับอัปราชัย
กองทัพที่ 3 ก็คือ กองทัพประชาชนปลดแอกที่ยิ่งชุมนุมก็ยิ่งรุนแรง ยิ่งทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย จนแกนนำที่เคยถูกจับแล้วปล่อย กลายเป็นถูกจับและต้องนอนคุก และการชุมนุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การกระทำรุนแรงที่มีภาพฟ้องแบบปฏิเสธไม่ได้ ทำให้หมดความชอบธรรมที่จะอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติเพื่อเรียกร้องหาเสรีภาพและประชาธิปไตยตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ ทั้งสื่อต่างประเทศ และพวกเดียวกันเองต่างก็ออกมาพูดกันอย่างชัดเจนว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อความรุนแรงทั้งการปาหิน ปาอิฐ ปาระเบิด จนมีตำรวจบาดเจ็บ เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพนี้คงเดินหน้ายาก แกนนำทั้งหลายก็คงจะเดินต่อแถวกันเข้าคุก เพราะทำผิดกฎหมายกันมากมายหลายคดี กองทัพนี้ต้องย่อยยับอัปราชัยจนไม่มีตัวละครที่จะออกมาเล่น เมื่อเสียเบี้ยเช่นนี้ ทั้งขุนทั้งม้าทั้งเรือคงต้องออกมาเล่นเอง แต่ก็คงเล่นไม่ง่าย
กองทัพที่ 4 กองทัพในสภาที่พลาดท่าเสียทีเมื่อเล่นกับการคิดที่จะยกเลิกมาตรา 112 เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้เลิก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อนกับมาตรา 112 และเมื่อคนในทัพนี้แสดงบทบาทในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ก็ไม่ได้สร้างผลงานที่ประทับใจอะไรเลย มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ มีแต่เรื่องมโนและการตีสำนวนโวหารที่ไม่ได้เข้าท่าเข้าทางอะไร และยังมีเรื่องเท็จ เรื่องที่รู้ไม่จริงอีกมากมาย แสดงกิริยาวาจาที่ถ่อยเถื่อนไร้มารยาท แทนที่จะทำให้ได้คะแนนนิยมจากประชาชนที่ติดตามดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กลับทำให้ประชาชนมองเห็นว่ากองทัพนี้ของพวกเขาไม่มีคุณภาพ และทำให้พวกเขาผิดหวังที่เคยคิดว่าพวกเขาจะมีนักการเมืองใหม่ เป็นนักการเมืองชั้นดีที่มีอุดมการณ์เข้ามาแทนที่นักการเมืองรุ่นเก่าที่เขามองว่าเป็นนักการเมืองน้ำเน่า ดังนั้นก็สรุปได้ว่ากองทัพนี้ก็ย่อยยับอัปราชัยอีกเช่นกัน พ่ายหมดแล้วจ้า.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |