19 ก.พ.64 - ที่อาคารรัฐสภา นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)เปิดเผยภายหลังการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้นัดประชุมเพื่อที่จะสอบถามและระดมความเห็น ส.ส. ว่าใครมีประเด็นข้อสงสัยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง ส.ส. พปชร.ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ รัฐมนตรีชี้แจงปัญหาได้ชัดเจน และรัฐมนตรีทุกท่านไม่มีข้อบกพร่องอะไร โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงครบถ้วนทุกประเด็น

ผู้สื่อข่าวถามว่าคะแนนเสียงรัฐมนตรีจะออกมาเท่ากันหรือไม่เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าพลเอกประวิตร จะได้คะแนนโหวตสนับสนุนมากที่สุด นายอนุชา ระบุว่า ตนคิดว่า รัฐมนตรีทุกคนจะได้คะแนนเท่ากัน เพราะ ส.ส.ทุกคนให้การยืนยัน อีกทั้งการชี้แจงของ รัฐมนตรีทุกคนมีความชัดเจน รวมทั้งรัฐมนตรีพรรคอื่นๆ ด้วยส.ส.พปชร. ก็ไม่ได้มีข้อสงสัยอะไร

เมื่อถามอีกว่ามีกระแสข่าวว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีการปรับ ครม. นายอนุชา กล่าวว่า ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้และไม่มีกระแสข่าวปรับ ครม. และฐานะที่ตนทำงานใน ครม. ก็ไม่มีกระแสข่าวการปรับ ครม. ดังนั้นภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่มีการปรับ ครม. อย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การประชุมดังกล่าวพลเอกประวิตรได้กล่าวอะไรในที่ประชุมหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า หัวหน้าพรรคได้ปรารภเรื่องความรัก ความสามัคคีที่สมาชิกพรรคต้องมี และหัวหน้าพรรคได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมสมาชิกพรรคที่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

“หัวหน้าพรรคย้ำในเรื่องความรักความสามัคคี อะไรที่บาดหมางอะไรกันในเรื่องส่วนตัวคงไม่ใช่เอามาเป็นประเด็นในการลงมติ เพราะมีการเปิดโอกาสให้พูดกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม และข้อสงสัยต่างๆในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่มี  จึงทำให้การลงมติไว้วางใจรัฐมนตรีขอวพปชร. มีคะแนนเสียงเท่ากันทั้งหัวหน้าพรรคและรัฐมนตรีทุกคน และยืนยันมติการโหวตของ พปชร.เป็นอย่างนั้นแน่นอน ”

เมื่อถามว่าหากมีคนโหวตสวนจะมีบทลงโทษหรือไม่ นายอนุชา ระบุว่า ไม่มีคนโหวตสวนแน่นอน เพราะพลเอกประวิตรเป็นผู้มีบารมี และเป็นคนตรงไปตรงมา และที่ผ่านมา รัฐมนตรีก็ไม่มีข้อสงสัยในการทำหน้าที่ ดังนั้น อะไรที่จะผิดพลาดไปจากนี้ คงไม่มีแน่นอน

เมื่อถามว่าบารมีของพลเอกประวิตรแผ่ไปถึงพรรคร่วมอื่นๆด้วยหรือไม่นั้น นายอนุชา กล่าวว่า คงไม่เป็นถึงขนาดนั้น เพราะขึ้นอยู่กับการชี้แจงของ รัฐมนตรีและทุกพรรคก็มีวิจารณญาณของตัวเอง และเป็นเรื่องภายในของแต่ละพรรค